Page 2 of 9

4 เทคนิค เขียนคอนเทนต์อย่างไรให้ถูกหลัก SEO

เชื่อว่านักการตลาดหลายคนทราบดีกว่าการทำ SEO หรือ Search Engine Optimization จำเป็นต้องใช้องค์ประกอบหลายอย่างเพื่อผลักดันให้เว็บไซต์ติดหน้าแรกการค้นหา เช่น การออกแบบเว็บไซต์ให้ใช้งานง่าย การแสดงบน การเลือกคีย์เวิร์ด ที่ขาดไม่ได้คือการเขียนคอนเทนต์ เพราะคอนเทนต์หรือบทความมีส่วนอย่างมากที่จะช่วยผลักดันให้กลุ่มเป้าหมายพบเจอเว็บไซต์คุณง่ายยิ่งขึ้น นักการตลาดออนไลน์จึงให้ความสำคัญกับการทำคอนเทนต์เป็นอย่างยิ่งเพื่อเพิ่มโอกาสเจอกลุ่มเป้าหมายที่ใช่มากที่สุด

เขียนคอนเทนต์อย่างไรให้ถูกหลัก SEO

1. คอนเทนต์ต้องมีคีย์เวิร์ด

เทคนิคเบื้องต้นสำหรับการเขียนคอนเทนต์รองรับ SEO คือทุกคอนเทนต์ที่อัปโหลดลงเว็บไซต์ต้องมีคีย์เวิร์ด โดยคีย์เวิร์ดจะช่วยให้กลุ่มเป้าหมายค้นเจอเว็บไซต์คุณง่ายยิ่งขึ้น การเลือกคีย์เวิร์ดจำเป็นต้องใช้เครื่องมือในการวิเคราะห์ว่าคีย์เวิร์ดใดมีการค้นหามากที่สุดหรือเทรนด์การใช้คีย์เวิร์ดเป็นอย่างไร ตัวอย่างเครื่องมือยอดนิยม ได้แก่ Google Keyword Planner และ Google Ads เป็นต้น

2. แทรกคีย์เวิร์ดในตำแหน่งเหมาะสม

เมื่อวิเคราะห์คีย์เวิร์ดเรียบร้อยแล้วก็ได้เวลาแทรกคีย์เวิร์ดในตำแหน่งเหมาะสม เพราะตำแหน่งการวางคีย์เวิร์ดมีส่วนสำคัญที่จะทำให้ Search Engine เข้าใจว่าคอนเทนต์นั้น ๆ มีเนื้อหาเกี่ยวกับอะไรและตรงกลุ่มเป้าหมายหรือไม่ สำหรับตำแหน่งที่จำเป็นต้องใส่คีย์เวิร์ด คือ ชื่อบทความ คำบรรยายบทความ หัวข้อ และที่ขาดไม่ได้คือชื่อรูปภาพ

3. กระจายคีย์เวิร์ดอย่างเป็นธรรมชาติ

นอกจากตำแหน่งต่าง ๆ ที่จำเป็นต้องมีคีย์เวิร์ดรวมอยู่ด้วยแล้ว อีกตำแหน่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้เลยคือการใส่คีย์เวิร์ดลงในบทคาม ที่สำคัญคือการกระจายคีย์เวิร์ดให้เป็นธรรมชาติ ไม่พยายามใส่คีย์เวิร์ดจำนวนมากเกินไป โดยปริมาณที่เหมาะสมคือไม่ควรเกิน 2 เปอร์เซ็นต์ของปริมาณข้อความ

4. คอนเทนต์คุณภาพ ตรงความต้องการกลุ่มเป้าหมาย

หัวใจสำคัญของการเขียนคอนเทนต์ให้เป็นไปตามหลัก SEO คือการเขียนคอนเทนต์สดใหม่และอยู่ในความสนใจกลุ่มเป้าหมาย คอนเทนต์ที่ลงในเว็บไซต์จึงต้องเป็นคอนเทนต์ที่ไม่ลอกเลียนแบบมาจากแหล่งอื่น เพราะหากระบบตรวจจับได้ เว็บไซต์อาจโดนแบนจนเสียโอกาสติดหน้าแรกการค้นหา นอกจากนี้คอนเทนต์ต้องน่าสนใจ ตรงความต้องการกลุ่มเป้าหมาย เช่น หากเป็นเว็บไซต์จำหน่ายเครื่องสำอาง บทความควรเกี่ยวข้องกับความสวยความงาม ซึ่งเป็นเรื่องที่กลุ่มเป้าหมายให้ความสนใจเป็นพิเศษ

เมื่อเขียนคอนเทนต์ตามหลัก SEO แล้ว เชื่อว่าเว็บไซต์คุณจะมีโอกาสก้าวสู่หน้าแรกการค้นหาง่ายยิ่งขึ้น แม้ว่าคอนเทนต์จะมีบทบาทสำคัญในการผลักดันให้เว็บไซต์ติดหน้าแรกการค้นหา แต่ถึงอย่างนั้นการทำ SEO จำเป็นต้องพึ่งองค์ประกอบอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็น การออกแบบโครงสร้างเว็บไซต์ การทำ Backlink ความเร็วในการดาวน์โหลด ฯลฯ ที่สำคัญในฝั่งของท่านเจ้าของธุรกิจเองจำเป็นต้องสร้างประสบการณ์ที่ดีในการซื้อสินค้าและบริการร่วมด้วย เช่น การพัฒนาคุณภาพสินค้า การจัดรายการส่งเสริมการขาย ควบคู่ไปกับการทำ SEO เพื่อผลลัพธ์ทางการตลาดที่มีประสิทธิภาพ

ด้านมืดของ SEO ที่คุณอาจคิดไม่ถึง

คงต้องยอมรับว่า วัตถุประสงค์หลักของการทำเว็บไซต์เพื่อประชาสัมพันธ์ข้อมูลและสินค้ารวมทั้งบริการของธุรกิจต่าง ๆ นั้นก็คือ การเปิดเผยข้อมูลให้กับลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย ดังนั้นความคาดหวังของธุรกิจทั้งหลายย่อมจะเป็นไปเพื่อ ให้กลุ่มเป้าหมายและลูกค้าของธุรกิจได้ค้นพบเว็บไซต์ของคุณ และเพื่อให้ความคาดหวังนี้ประสบผลสำเร็จ ดังนั้นธุรกิจต่างๆ จึงหันมาใช้ SEO เพื่อให้บรรลุเป้าหมายในการที่จะช่วยให้มีผู้ชมเข้าถึงเว็บไซต์มากขึ้นนั่นเอง และนี่ก็คือสิ่งที่ยอดเยี่ยมของ SEO เพราะ SEO จะเป็นเครื่องมือที่รับประกันได้ว่าเว็บไซต์ของคุณจะมีจำนวนผู้เข้าชมมากขึ้น อีกทั้ง SEO ยังส่งกลุ่มเป้าหมายและผู้ชมซึ่งเป็นลูกค้ากลุ่มที่มีความเป็นไปได้ ให้เข้าถึงเว็บไซต์ของคุณได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย 

เปิดด้านมืดของ SEO ที่คุณอาจคิดไม่ถึง

แต่ถึงจะยอดเยี่ยมขนาดนี้ SEO ก็มีข้อเสียอยู่บ้างเหมือนกัน และวันนี้เราจะพาคุณไปพบกับด้านมืดของ SEO เครื่องมือที่มีประสิทธิภาพสูงสุดสำหรับการตลาดทางโซเชียลมีเดีย ในทศวรรษนี้ก็ว่าได้

SEO ใช้ไม่ได้กับนวัตกรรม หรือสตาร์ทอัพ

ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่า SEO นั้นถือเป็นศิลปะของการถูกค้นพบ โดยการที่ผู้คนกำหนดคีย์เวิร์ด หรือคำค้น และเข้าถึงเนื้อหาของเว็บไซต์ด้วยคีย์เวิร์ด แต่ถ้าคุณกำลังประดิษฐ์สิ่งใหม่ ๆ หรือนวัตกรรมสินค้าที่ไม่เคยมีมาก่อน แน่นอนว่าผู้คนก็ย่อมจะยังไม่รู้จักผลิตภัณฑ์ หรือสินค้าของคุณ และพวกเขาก็คงจะไม่สามารถนึกถึงคีย์เวิร์ด ที่จะนำไปสู่เว็บไซต์ของคุณได้ กรณีอย่างนี้ SEO จะไม่สามารถช่วยเพิ่มปริมาณการค้นพบให้กับเว็บไซต์ของคุณได้

สแปมจํานวนมาก ของแถมไม่พึงประสงค์ ที่มาพร้อมปริมาณการค้นหาจํานวนมาก

ขณะที่ปริมาณการค้นหาเว็บไซต์ของคุณเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก แต่ในเวลาเดียวกัน ก็ย่อมจะนำพาสแปมจำนวนมากเข้ามาด้วยเช่นกัน ซึ่งกรณีอย่างนี้ คุณก็อาจจะต้องเพิ่มการตั้งค่าฟีเจอร์ในเว็บไซต์ เพื่อช่วยลดสแปม หรือกรองการเข้าถึงโดยสแปมหุ่นยนต์มากมายที่มีอยู่ทั่วไปในโซเชียลมีเดีย และนี่เป็นวิธีที่แม้จะต้องสิ้นเปลืองงบประมาณบ้าง แต่จะช่วยคุณให้ลดโอกาสในการเสียเวลาจากสแปมหุ่นยนต์ และ การขายที่ไม่สำเร็จ อันเนื่องมาจากสแปมหุ่นยนต์ย่อมไม่ใช่ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายที่แท้จริงไปได้บ้าง ใช่แล้ว สแปมก็คือเรื่องที่ชวนปวดหัว ซึ่งเจ้าของเว็บไซต์ทุกคนต้องเผชิญนั่นเอง

ถึงอย่างไรในขณะนี้ ประโยชน์ของ SEO ก็ยังถือว่ามีมากกว่าข้อเสีย จริงอยู่แม้ว่าคุณอาจจะต้องกรองผู้เข้าชมซึ่งเป็นสแปมมากมายออกไป แต่โอกาสที่กลุ่มลูกค้าจะเข้าถึงเว็บไซต์ของคุณเพิ่มมากขึ้น จนนำไปสู่การปิดการขายได้สำเร็จมากขึ้น ก็ย่อมคุ้มค่าที่จะเลือกใช้ SEO จำไว้ว่าการเข้าถึงเว็บไซต์ยังไม่ใช่จุดสิ้นสุดของการขาย ดังนั้นนอกเหนือจาก SEO แล้ว ความซื่อตรงและคุณภาพของสินค้ารวมทั้งบริการ ย่อมจะทำให้ธุรกิจของคุณประสบผลสำเร็จได้อย่างดีและยั่งยืน และนี่คือสิ่งที่สำคัญอย่างมากสำหรับปรัชญาในการดำเนินธุรกิจเพื่อประสบความสำเร็จได้อย่างสง่างามโดยแท้จริง

SEO และ Google AdWords แตกต่างกันอย่างไร

การทำการตลาดออนไลน์ผ่านเครื่องมือค้นหาบนอินเทอร์เน็ตทำเว็บไซต์ให้ติดอันดับหน้าแรก ๆ มี 2 ตัวช่วยหลักคือ SEO และ Google AdWords ซึ่งธุรกิจไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ให้ความสนใจไม่น้อย ถือเป็นเครื่องมืออันทรงพลังในการเจาะเข้าถึงลูกค้าอย่างแม่นยำ โดยไม่ต้องจ่ายแพงเหมือนกับวิธีการโฆษณาแบบดั้งเดิม

หลายคนอาจไม่ทราบว่า SEO และ Google AdWords แตกต่างกันอย่างไร ทำไมบริษัทธุรกิจและนักการตลาดควรใส่ใจในเรื่องนี้ เราจะมาหาคำตอบไปพร้อมกัน

1.SEO (Search Engine Optimization) คือการทำให้เว็บไซต์ขึ้นบนหน้าค้นหาโดยธรรมชาติ การทำ SEO ให้มีประสิทธิภาพต้องสร้างคอนเทนต์เป็นประจำ พร้อมกับปรับโครงสร้างเว็บไซต์ให้เข้าใช้งานง่าย ส่งผลให้มีการแชร์เว็บไซต์ออกมาไปมากๆ อย่างไรก็ตาม SEO ทำได้ง่ายในตอนแรกและไม่ต้องเสียเงินให้ Google แต่ยากที่จะสมบูรณ์แบบได้ในระยะยาว เป็นเพราะวิธีการทำ SEO จะใช้เวลาไม่น้อยกว่า 5-6 เดือน หลังจากขึ้นไปอันดับสูง ๆ ได้แล้ว การรักษาตำแหน่งไว้ให้ยั่งยืนยิ่งเป็นเรื่องยาก จำเป็นต้องทำการปรับปรุงเป็นประจำเพื่อให้ยังรักษาอันดับต้น ๆ เอาไว้ให้ได้ ด้วยเหตุนี้ ถ้าอยากดันอันดับเว็บไซต์ให้สูงขึ้นจะต้องเสียค่าบริการให้ผู้เชี่ยวชาญด้าน SEO เพื่อโปรโมทให้สินค้าหรือบริการออกไปสู่สายตาผู้คนจำนวนมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

2.Google AdWords อธิบายง่าย ๆ ว่าคือการลงโฆษณาเว็บไซต์บนหน้าค้นหากับ Google โดยตรง มีการเก็บเงินเมื่อมีคนคลิกเข้าไปชมเว็บไซต์นั่นเอง สิ่งสำคัญคือการเลือกคีย์เวิร์ดและคำโฆษณาได้เองตามต้องการ สามารถเปลี่ยนคำใหม่ได้ทุกเมื่อ วิธีนี้ช่วยให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้น จะถูกเรียกเก็บเงินเมื่อมีคนคลิกบนโฆษณาเท่านั้นและจ่ายเงินตามจำนวนคนที่คลิกเข้ามาดู ถือว่า Google Ads มีค่าใช้จ่ายค่อนข้างถูกและได้ผลดีน่าพอใจ สามารถควบคุมงบประมาณไม่ให้บานปลายได้และเก็บข้อมูลยอดขายมาต่อยอดเพื่อหาช่องทางการขายที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ Google Ads ยังเป็นเครื่องมือทำการตลาดออนไลน์บนเว็บไซต์อื่น ๆ บนเครือข่ายของ Google ซึ่งจะช่วยให้เราเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายมากยิ่งขึ้น สามารถเข้าถึงเว็บไซต์นับพันแห่งในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณด้วย

สุดท้ายแล้วเป้าหมายของการทำ SEO ช่วยให้บริษัทและธุรกิจของคุณค้นหาทางออนไลน์ได้ง่าย ในขณะที่ Google Ads ช่วยให้ใช้ประโยชน์จากการโฆษณาออนไลน์เข้าถึงผู้ชมที่ใช่ ในสถานที่และเวลาที่เหมาะสม เหมาะสำหรับการดึงดูดผู้เข้าชมมายังเว็บไซต์ ช่วยส่งเสริมการเติบโตในระยะสั้น ส่วนการเติบโตในระยะยาวจำเป็นต้องอาศัยเวลาและมุ่งเป้าหมายให้ธุรกิจเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน

สรุปความต่างระหว่าง SEO และ Google AdWords

1.SEO สามารถทำให้เว็บไซต์ติดอันดับการค้นหาของ Google ได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม แตกต่างจาก Google AdWords ทำให้เว็บไซต์ติดอันดับการค้นหาได้เร็วกว่า แต่ต้องมีเงินทุนอัดฉีดด้านโฆษณาต่อเนื่อง ถ้าหยุดจ่ายค่าโฆษณาเมื่อไร อันดับก็จะลดลงไปเรื่อยๆ

2.ข้อดีของ SEO คือช่วยให้เว็บไซต์ติดอันดับการค้นหาของ Google ได้นานและคงที่มากกว่า ในขณะที่ Google AdWords ไม่เพียงแสดงผลโฆษณาบนเว็บไซต์เท่านั้น แต่ยังรวมถึงพันธมิตรของ Google ด้วย

สรุปว่าการทำ SEO เหมาะกับธุรกิจที่ทำมานานและต้องการมีตัวตนในโลกออนไลน์ เพื่อเข้าถึงลูกค้าในวงกว้างมากขึ้นและสร้างความเชื่อมั่นยิ่งขึ้น สำหรับ Google AdWords เน้นการโปรโมทธุรกิจใหม่เพื่อให้ติดอันดับใน Google แบบเร่งด่วน แต่มีข้อจำกัดเรื่องอัดฉีดเงิน ถ้าเงินโฆษณาหมด อันดับของเว็บไซต์ก็จะลดลงด้วย

5 จุดเด่นของการทำ SEO เพราะอะไรเจ้าของธุรกิจจึงสนใจ

การทำการตลาดถือเป็นสิ่งสำคัญทำให้ธุรกิจเจริญเติบโต ท่านเจ้าของธุรกิจจึงต้องอาศัยเครื่องมือทำการตลาดเป็นตัวช่วยผลักดันยอดขาย และหนึ่งในเครื่องมือที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในยุคนี้ คือ เครื่องมือการตลาดที่เรียกว่า SEO หรือชื่อเต็ม Search Engine Optimization เครื่องมือการตลาดออนไลน์รูปแบบหนึ่ง มีวัตถุประสงค์เพื่อผลักดันเว็บไซต์ให้ติดหน้าแรกการค้นหา ยกตัวอย่างการที่เราจะทำให้เว็บบอลออนไลน์ของเราติดหน้าแรกก็เช่นกัน ข้อมูล รายละเอียดเกี่ยวทีมบอล สถิติ บอลต่อ บอลรอง รวมถึงยังมีจุดเด่นอื่น ๆ ที่ทำให้ท่านเจ้าของธุรกิจตันสินใจลงทุนกับเครื่องมือนี้

จุดเด่นของการทำ SEO ที่ทำให้เจ้าของธุรกิจสนใจ

– เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างตรงจุด

เรียกได้ว่าเป็นจุดเด่นอันดับแรกที่ต้องนึกถึงเลยก็ว่าได้ เพราะ SEO โดดเด่นเรื่องการเป็นเครื่องมือที่เจาะเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างดีเยี่ยม เมื่อกลุ่มเป้าหมายกดค้นหาคีย์เวิร์ดใน Search Engine ก็มีโอกาสเจอเว็บไซต์ของคุณได้ง่ายยิ่งขึ้น โดยเฉพาะหากท่านเจ้าของธุรกิจสามารผลักดันเว็บไซต์ให้ติดหน้าแรก โอกาสที่กลุ่มเป้าหมายจะมองเห็นคุณก็ง่ายขึ้นตามไปด้วย

– เพิ่มโอกาสเจอกลุ่มเป้าหมายใหม่

หากเป็นเมื่อก่อนนี้การค้นหากลุ่มเป้าใหม่ของธุรกิจอาจเป็นเรื่องยากสักนิดสำหรับนักการตลาด แต่ปัจจุบัน SEO สามารถทำให้ค้นเจอกลุ่มเป้าใหม่ ๆ ได้ง่ายขึ้น เพียงแค่คุณทำเว็บไซต์ให้ติดหน้าแรก กลุ่มเป้าหมายที่อาจไม่เคยรู้จักธุรกิจคุณมาก่อนอาจจะสนใจ คลิกเข้าสู่เว็บไซต์ และสร้างการจดจำได้ในที่สุด 

– เพิ่มความน่าเชื่อถือให้ธุรกิจ

นอกจากแบรนด์ต้องสร้างการจดจำแก่ลูกค้าแล้ว เพื่อความภักดีต่อธุรกิจในระยะยาวก็ควรสร้างความน่าเชื่อถือให้กับธุรกิจด้วย การผลักดันเว็บไซต์สู่หน้าแรกการค้นหาได้ คือวิธีหนึ่งในการสร้างความน่าเชื่อถือ เพราะการติดหน้าแรกการค้นหาสะท้อนให้เห็นว่าธุรกิจวางแผนทำ SEO มาอย่างดีและออกแบบเว็บไซต์ให้เป็นไปตามมาตรฐานการให้คะแนนของ Search Engine จนก้าวสู่อันดับดี ๆ ของการค้นหาได้

– กระตุ้นพฤติกรรมการซื้อ

ไม่เพียงสร้างความน่าเชื่อถือหรือสร้างการจดจำ SEO ยังช่วยกระตุ้นพฤติกรรมการซื้อสินค้าและบริการ เพราะสามารถโปรโมทธุรกิจได้ตลอดเวลา กลุ่มเป้าหมายมีโอกาสเห็นเว็บไซต์คุณได้ซ้ำ ๆ เพิ่มโอกาสตัดสินใจซื้อสินค้าและบริการได้อย่างดีเยี่ยม

– ประหยัดค่าใช้จ่าย

SEO มีจุดเด่นมากมายแต่รู้หรือไม่ว่ากลับใช้งบประมาณน้อยกว่าการทำการตลาดประเภทอื่น เช่น การซื้อโฆษณาโทรทัศน์ การจัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาด ฯลฯ เพราะหัวใจหลักของการทำ SEO คือการปรับแต่งเว็บไซต์ให้ได้มาตรฐานตามเกณฑ์ให้คะแนนของ Search Engine ซึ่งหากทำได้ เชื่อว่าคุ้มค่ากับการลงทุนอย่างแน่นอน

เรียกได้ว่าการทำ SEO มาพร้อมข้อดีและจุดเด่นหลายอย่างที่บางครั้งเครื่องมือการตลาดประเภทอื่น ๆ ไม่สามารถทำได้ โดยเฉพาะการสร้างความเชื่อมั่น ความมั่นใจในสินค้า และเจาะถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างลึกซึ้ง ที่สำคัญยังสอดคล้องกับพฤติกรรมผู้บริโภคในยุคปัจจุบันที่ก่อนตัดสินใจซื้อสินค้าและบริการอะไรต้องค้นหาข้อมูลจาก Search Engine ก่อนเสมอ จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจว่าเพราะอะไร SEO จึงเป็นเครื่องมือการตลาดออนไลน์ที่น่าจับตามองเป็นอย่างยิ่ง 

เหตุผลว่าทำไมธุรกิจออนไลน์ถึงควรเลิกยิง Ads แล้วหันมาทำ SEO แทน

หนึ่งทางเลือกในการเพิ่มโอกาสการเข้าถึงลูกค้าให้มากขึ้นของธุรกิจก็คือการยิง Ads โฆษณาบนแพลตฟอร์มออนไลน์ต่าง ๆ โดยเฉพาะพวกโซเชียลมีเดีย แล้วหวังว่าธุรกิจจะมีคนหันมาสนใจสินค้าและตัดสินใจซื้อสินค้ามากขึ้น รวมไปถึงการจ่ายให้กับ Google เพื่อสร้างทางลัดให้ธุรกิจสามารถขึ้นมาอยู่บนอันดับต้น ๆ ของการค้นหา

ซึ่งนี่ดูเหมือนจะเป็นเรื่องดีที่สะดวก ง่าย และเห็นผลทันที แต่รู้หรือไม่ว่าการได้มาอยู่ในอันดับต้น ๆ ของการค้นหา ไม่สามารถการันตีผลสำเร็จของธุรกิจได้ และต่อไปนี้ก็คือเหตุผลว่าทำไมการทำ SEO จึงเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจกว่า

1. เสียค่าใช้จ่ายสูง อย่างที่รู้กันดีว่าการยิง Ads มีค่าใช้จ่ายที่สูงไม่น้อย ซึ่งนั่นก็คือต้นทุนของธุรกิจ และถ้าธุรกิจต้องพึ่งการสร้างรายได้ผ่านการโหมโฆษณาหนัก ๆ จะทำให้ธุรกิจต้องแบกต้นทุนการตลาดสูง กำไรก็จะลดลง ยิ่งทำมากยิ่งเสี่ยงที่จะขาดทุนมากเพราะค่าใช้จ่ายจะสูงขึ้นเรื่อย ๆ

2. คนมักไม่ชอบโฆษณา เราเชื่อว่าทุกคนถ้านั่งดูอะไรอยู่แล้วมีโฆษณาโผล่ขึ้นมา ถ้ากด Skip ได้ ก็พร้อมจะกดทันที นั่นรวมไปถึงอันดับการค้นหาบน Google ด้วย ที่หลายคนมักเลือกมองข้ามธุรกิจที่ซื้อโฆษณา แต่จะเลือกไปคลิกเอาหน้าเว็บที่ได้อันดับมาแบบ Organic มากกว่า

3. การได้ลูกค้าที่ตรงกลุ่ม ส่วนใหญ่เวลายิง Ads บนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย ธุรกิจจะต้องเลือกว่าจะนำเสนอสินค้าไปยังกลุ่มเป้าหมายใดที่เป็นกลุ่มเป้าหมายจากการวิเคราะห์ตลาด แต่การทำ SEO จะช่วยให้ธุรกิจได้เข้าถึงลูกค้าตัวจริงมากกว่า จากการเลือกเข้ามาอ่านคอนเทนต์ SEO บนเว็บไซต์

4. ความสำเร็จในระยะยาว ข้อเสียอย่างหนึ่งของการจ่ายเงินเพื่อซื้อ Ranking หรือยิง Ads ให้คนเห็นธุรกิจคือถ้าหยุดจ่ายทุกอย่างก็จะจบ แต่ถ้าเป็นการทำ SEO จะเป็นความสำเร็จในระยะยาว เพียงแค่ทำอย่างต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ เป็นความสำเร็จระยะยาวที่คุ้มค่า

5. โอกาสซื้อที่มากกว่า อย่างที่บอกว่าคนมักกดข้ามโฆษณาและคิดว่าการจ่ายเงินเพื่อขึ้นมาอยู่บนอันดับต้น ๆ ของ Google เป็นอะไรที่ไม่น่าสนใจ แต่ถ้าเป็นเว็บไซต์ที่มีการทำคอนเทนต์ SEO คุณภาพ จะมีแนวโน้มทำให้เกิดการวางใจและเป็นปฏิสัมพันธ์ที่ดีกว่า และการสื่อสารเนื้อหาที่ลูกค้าสนใจก็จะกระตุ้นให้เกิดการตัดสินใจซื้อได้มากกว่าด้วย

เพราะการเลือกทำ SEO ด้วยการใช้บทความคุณภาพ จะช่วยสร้างความยั่งยืนให้กับการทำการตลาดของธุรกิจออนไลน์ได้เห็นผลมากกว่า ถึงแม้จะเป็นวิธีที่ค่อนข้างใช้เวลาสักหน่อย แต่รับรองเลยว่าในระยะยาวแล้วคุ้มกว่าการเสียเงินไปกับการจ้างยิง Ads แน่นอน

อยากปัง ต้องรู้ SEO คืออะไร พร้อมแชร์เคล็ดลับในการทำ SEO ให้ดังกว่าเดิม

ปัจจุบันอินเทอร์เน็ตเข้ามามีส่วนร่วมในชีวิตประจำวันมากขึ้น ไม่ว่าจะไปเที่ยวที่ไหน เดินทางอย่างไร ร้านอาหารไหนอร่อย รู้หมด พร้อมรีวิวทั้งในส่วนของบทความหรือแม้แต่วีดีโอ ล้วนใช้ Search Engine ในการค้นหาทั้งนั้น โดยเฉพาะ Google หนึ่งใน Search Engine ที่ได้รับความนิยมจากผู้ใช้งานมากที่สุดในโลก

จากสถิติของ Internet live stats ในปี 2020 พบว่ามีคนใช้ Google ในการค้นหามากกว่า 3.5 พันล้านครั้ง จนมีคำพูดติดปากของใครหลาย ๆ คนว่า นึกอะไรไม่ออก ให้ถามอากู๋ (Google) รับรองได้ว่าจะพบกับเรื่องราวทุกอย่างที่อยากค้นหาอย่างแน่นอน

SEO เกี่ยวข้องอย่างไร

SEO ย่อมาจาก Search Engine Optimization ซึ่งก็คือการปรับแต่งเว็บไซต์ เพจ คลิปวิดีโอให้ตรงตามข้อกำหนดของ Search Engine นั้น ๆ เพื่อให้สามารถค้นหาเพจ เว็บไซต์หรือคลิปวิดีโอให้ติดลำดับต้น ๆ ของการค้นหาได้ ส่งผลให้เว็บไซต์ เพจหรือคลิปวิดีโอได้รับการเยี่ยมชมเพิ่มมากขึ้นและเป็นโอกาสทางธุรกิจบนโลกออนไลน์ที่จะทำให้คุณประสบความสำเร็จได้

เทคนิคในการทำ SEO

ซึ่งเทคนิคและวิธีการทำ SEO ก็ไม่ยากเกินไปและไม่ง่ายเกินไป หากแต่ต้องเข้าใจถึงกระบวนการและวิธีคิดของ AI ของ Search Engine รวมถึง กฎ ระเบียบและข้อห้ามต่าง ๆ ที่ Search Engine กำหนดขึ้นมา เพียงเราแต่ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด รับรองได้เลยว่าโอกาสประสบความสำเร็จมีสูงมาก โดยวันนี้จะมาแนะนำเคล็ดลับให้สามารถทำ SEO ด้วยตนเองง่าย ๆ ดังนี้

KEY WORD

เชื่อได้ว่าทุกคนเวลาที่ต้องการจะค้นหาอะไร จะต้องใส่ คำ ที่ต้องการค้นหา ซึ่งเราจะเรียกว่า Key word เช่น หากคุณทำเว็บไซต์เกี่ยวกับ ปุ๋ย คีย์เวิร์ดที่สำคัญนอกจากคำว่า ปุ๋ยแล้ว อาจต้องมีคำใกล้เคียง เช่น ธาตุอาหารพืช, ธาตุอาหารหลัก, ไนโตรเจน, ฟอสฟอรัส, โพแทสเซียม, ปุ๋ยอินทรีย์, ปุ๋ยเคมี หรือ NPK เป็นต้น โดยคีย์เวิร์ดดังกล่าวจะต้องผ่านการวิจัยและเป็นที่ยอมรับแล้วว่ามีอัตราการค้นหาในระดับหนึ่ง

สร้างคอนเทนต์ที่มีคุณภาพ

ในเว็บไซต์ เพจหรือแม้แต่คลิปวิดีโอ จำเป็นจะต้องได้รับการอัปเดตใหม่อยู่เสมอ ยิ่งถ้าเป็นคอนเทนต์ที่ทำใหม่ มีคุณภาพ ไม่มีการคัดลอก มีความน่าสนใจก็จะช่วยให้ได้รับความนิยมมากขึ้น ซึ่งการสร้างคอนเทนต์ก็จะมีเทคนิคและวิธีการทำที่แยกย่อยไปอีก

รองรับทุกการใช้งาน

ปัจจุบันไม่เพียงแค่คอมพิวเตอร์เพียงอย่างเดียวเท่านั้นที่เข้าใช่งานอินเทอร์เน็ตได้ แต่ยังมีทั้งมือถือสมาร์ทโฟน แท็ปเลต สมาร์ททีวีและอุปกรณ์อื่น ๆ ดังนั้น เว็บไซต์ เพจหรือคลิปวิดีโอที่ทำขึ้นต้องรองรับการใช้งานอุปกรณ์เหล่านี้ด้วย โดยเฉพาะอุปกรณ์สมาร์ทโฟนที่มีอัตราการเติบโตเพิ่มมากขึ้นในปัจจุบัน

ใช้ Social ให้เป็นประโยชน์

การทำคอนเทนต์ไม่จำกัดเพียงแค่เว็บไซต์เท่านั้น หากแต่ยังสามารถทำในในส่วนของโซเชียลมีเดียในช่องทางต่าง ๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็น Facebook, Youtube หรือ Tiktok ก็จะช่วยทำให้เราเป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้นและตรงเป้าหมายได้ดีกว่าที่อาศัยการทำคอนเทนต์เพียงช่องทางเดียว

สำหรับใครที่ต้องการให้เว็บไซต์ของตนเองเป็นที่รู้จักและเพิ่มยอดขายให้ปังกว่าเดิม ก็อย่าลืมศึกษาในส่วนของเทคนิคและวิธีการทำ SEO เพิ่มเติม บอกเลยยอดขายกระฉูดแถมฟรีอีกด้วย

ทำไมต้องทำ SEO ในเมื่อสามารถที่จะซื้อโฆษณาให้เว็บไซต์ได้

ปัจจุบันตลาดออนไลน์ในประเทศไทยมีมูลค่าทางการตลาดที่สูงมาก แตกต่างจากช่วง 10 ปี ที่ผ่านมาเป็นอย่างมาก แม้แต่ห้างสรรพสินค้าและแบรนด์สินค้าชื่อดังก็กระโดดร่วมวงในการขายสินค้าออนไลน์แข่งกับเค้าด้วย ทำให้เกิดการแข่งขันในวงกว้าง โดยเฉพาะการโฆษณาออนไลน์ มีการอัดค่าโฆษณาด้วยเม็ดเงินมหาศาลเพื่อจับจ้องพื้นที่สื่อโซเชียลให้เห็นสินค้าของตนเองตลอด 24 ชั่วโมง แต่ด้วยการปรับเปลี่ยนอัลกอริทึมของ Search Engine และ Facebook ทำให้การโฆษณาอาจไม่มีความหมายอีกต่อไป หากคุณไม่ได้รับการพัฒนาเว็บไซต์ให้มีคุณภาพ ตามหลักเกณฑ์ของ Search Engine ที่มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบของการค้นหาให้เป็นแนวทางที่มีความยั่งยืนและเน้นการเป็นผู้ให้ข้อมูลและความรู้แก่คนที่ติดตามอย่างแท้จริง จึงเป็นที่มาว่าทำไมต้องทำ SEO มากกว่าที่จะมุ่งเน้นไปที่การซื้อโฆษณาเพียงอย่างเดียว

User เน้นการคลิกไปที่การค้นหาแบบ Organic Search

หากคุณเป็นคนหนึ่งที่ใช้ Google ในการค้นหาข้อมูล จะพบว่ามีเว็บไซต์ต่าง ๆ ถูกจัดเรียงลำดับให้ โดนในช่วง 1-5 ข้อมูลที่ Google ค้นหามาให้จะเป็นเว็บไซต์ที่ผ่านการยิงแอด หรือมีคำว่า โฆษณา ติดแนบท้าย รู้หรือไม่ว่า User ส่วนใหญ่มักจะคลิกเลือกในลำดับถัด ๆ มาที่ไม่มีโฆษณามากกว่า นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมถึงต้องทำ SEO เพราะคนส่วนใหญ่เลือกที่จะคลิกเลือก Organic Search มากกว่า Paid Search นั่นเอง

การทำ SEO ใช้เงินลงทุนต่ำหรือแทบไม่ได้ใช้เลย

หากคุณซึ่งเป็นเจ้าของกิจการที่ทำเว็บไซต์เอง มีทีมงานในการประชาสัมพันธ์และรู้หลักการทำ SEO อาจไม่ต้องเสียค่าจ้างบุคคลภายนอกในการทำ SEO หรือหากต้องว่าจ้างก็ใช้เงินลงทุนที่ต่ำ ในขณะที่ผลการจัดอันดับการค้นหาก็จะอยู่ในอันดับที่ดีในระยะยาว ไม่ใช่แค่ขึ้นติด Top Chart เพียงข้ามคืนก็หายไปเสียแล้ว

ลดต้นทุนในการโฆษณา

แม้การทำ SEO จะใช้ระยะเวลาที่นานกว่าที่เว็บไซต์จะสามารถติดอันดับตามที่ต้องการได้ ก็จะช่วยให้คุณลดต้นทุนในการยิงแอดลงไปได้ เพราะหากคอนเทนต์หรือเว็บไซต์ของคุณมีเนื้อหาที่ตอบโจทย์และแก้ไขปัญหาให้คนจำนวนมากได้ ก็จะทำให้การไต่อันดับขึ้นไปอยู่ลำดับต้น ๆ ของการค้นหาคงไม่ยาก

เว็บไซต์มีคุณภาพมากขึ้น

รู้หรือไม่ว่าการที่เว็บไซต์มีคนนำข้อมูลไปอ้างอิงมาก ๆ ก็ส่งผลต่อการจัดอันดับในการค้นหาของ Search Engine ด้วย โดยเฉพาะเว็บไซต์ที่ดี มีคุณภาพ นำเสนอข้อมูลที่ถูกต้อง ชัดเจน เมื่อมีคนนำบทความ หรือแหล่งที่มาแล้วอ้างอิงเป็นเว็บไซต์ของคุณ จำนวนมาก ๆ ก็จะทำให้ Search Engine มองว่าเว็บไซต์ของคุณมีคุณภาพและจัดอันดับให้อยู่ต้น ๆ ของการค้นหาด้วย

เห็นหรือยังว่าการทำ SEO มีความสำคัญต่อเว็บไซต์อย่างไร หากคุณต้องการที่จะเป็นหนึ่งในใจของ Search Engine จะต้องทำตามกฎ ระเบียบและข้อบังคับของ Search Engine เพื่อให้เว็บไซต์มีคุณภาพและยั่งยืนต่อไปในอนาคตได้

AI google จะมา disrupt วงการ SEO จริงหรือ

นับว่าเป็นข่าวใหญ่แห่งปี 2022 ที่ google ได้เปิดตัวระบบอัลกอริทึมล่าสุดชื่อว่า “MUM” อันมีคุณลักษณะคล้ายกับมนุษย์เป็นอย่างมาก ซึ่ง AI ตัวนี้ได้ถูกสร้างเพื่อพัฒนาระบบการค้นหาของ Google ให้มีความแม่นยำยิ่งขึ้น ซึ่งแต่เดิมใช้งานด้วยระบบ BERT โดยระบบใหม่ “MUM” ได้ทำการ disrupt วงการ SEO อย่างไรเรามาดูกันเลยดีกว่า

ระบบการค้นหาที่ยอดเยี่ยมเกินไป

จากเดิมที่ผู้ใช้งานเว็บ search engine ไม่ว่าจะเป็น Yahoo Baidu หรือแม้แต่ Google ย่อมต้องใช้คีย์เวิร์ดในการค้นหาสิ่งที่ต้องการด้วยข้อความสั้นๆ เช่น ถ้าต้องการสืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ผู้ใช้งานอาจค้นหาด้วยข้อความว่า “คอมพิวเตอร์สเปคแรง” หรือจะย่อคำให้สั้นกว่านี้ก็ได้ แต่เมื่อค้นหาด้วยการใช้ข้อความเหมือนกับภาษาพูด AI รุ่นเก่าจะไม่สามารถประมวลผลและแสดงผลว่าไม่พบการค้นหา อย่างไรก็ตาม MUM ได้เข้ามามีบทบาทด้วยความสามารถในการอ่านข้อความยาวเหมือนภาษาพูด และประมวลผลตรงจุดนี้ได้อย่างแม่นยำ เช่น คำค้นหา “คอมรุ่นใหม่ 2022 อยากได้สเปคแบบ ram 16 CPU xxx ราคาไม่เกิน xxxx บาท ขายในกรุงเทพ” MUM จะแสดงผลการค้นหาด้วยสิ่งที่ใกล้เคียงของข้อความนี้ได้ แม้ผู้ใช้งานจะอ่านสิ่งที่ตัวเองเขียนมาไม่รู้เรื่องเลยก็ตาม

ฟีเจอร์ครอบคลุม

การเข้ามาของเทคโนโลยีระบบค้นหาด้วยเสียง ทำให้ google ได้พัฒนา MUM ให้สามารถแสดงผลของการค้นหาด้วยคำพูดได้ แม้ว่าผู้ใช้งานระบบเสิร์ชด้วยเสียงจะอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เสียงดังรบกวน และยังรองรับภาษาทั่วโลกได้มากถึง 75 ภาษา ทำให้ระบบการค้นหาครอบคลุมไปยังทุกภาษาที่เราต้องการสืบค้น ยิ่งไปกว่านั้นรูปภาพ วิดีโอและสิ่งต่างๆ ที่อยู่บนเว็บไซต์ยังถูกเชื่อมโยงไปยังการค้นหาด้วย ตัวอย่างเช่นเมื่อค้นหาด้วยข้อความ “คอมพิวเตอร์” เว็บไซต์ซึ่งมีองค์ประกอบของรูปภาพและวิดีโอที่เกี่ยวข้องกับสินค้า ย่อมได้รับการจัดอันดับหน้าแรกของ search engine แต่เดิมการติดอันดับจะอยู่บนพื้นฐานของการใช้คีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องในเว็บไซต์ แต่ครั้งนี้การยัดคีย์เวิร์ดเข้าไปให้มากที่สุดก็อาจไม่เวิร์คอีกต่อไป บทความที่มีคุณภาพดึงเวลาให้ผู้อ่านอยู่ในเว็บไซต์ได้นานจึงสำคัญกว่าการเน้นคีย์เวิร์ดแบบเดิม ๆ

ที่สำคัญ MUM ยังสามารถแปลภาษาอัตโนมัติทั้งบทความ แม้ว่าเราจะไม่ใช่เจ้าของภาษาก็อ่านรู้เรื่อง เช่น search เกี่ยวกับร้านอาหารในรัฐเท็กซัสประเทศสหรัฐอเมริกา แทนที่เราจะเจอเว็บใช้ภาษาอังกฤษ AI จะแปลบทความนั้นให้อยู่ในรูปแบบของภาษาไทยให้มากที่สุด ทำให้บทความของเจ้าของภาษาจะเจอคู่แข่งทั่วทุกมุมโลก และเมื่อเราต้องการหาคำตอบอะไรสักอย่างที่ต้องการในเว็บไซต์ แทนที่จะพิมพ์คีย์เวิร์ดในช่องค้นหา แต่การเข้ามาของ MUM ทำให้ผู้ใช้งานไม่ต้องพิมพ์อะไรทั้งสิ้น เพียงใช้รูปภาพในการอัปโหลดก็จะเจอวิธีการดีที่สุดสำหรับการแก้ไขปัญหาและได้สิ่งที่ต้องการเสิร์ช

ถ้าเป็นจริงตามที่ google กล่าวอ้าง วงการ SEO อาจต้องปรับตัวด้วยการใช้เนื้อหาของบทความซึ่งมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวและต้องใช้รูปภาพ วิดีโอ ระบบเสียงต่างๆ ที่สอดคล้องกับระบบ AI ใหม่นี้ด้วย แต่อย่างไรก็ดี google เพิ่งจะพัฒนา MUM ในระยะเริ่มต้นเท่านั้น ซึ่งต้องใช้เวลาอีกพักใหญ่ก่อนที่ออกมาโลดแล่นบนเว็บ Google จริง ๆ

SEO ไม่ใช่แค่เขียนบทความ Backlink ยังสำคัญอันดับต้น

คนที่คุ้นเคยกับการทำ SEO ทราบดีว่าวิธีการจัดอันดับและแสดงผลการค้นหาเว็บไซต์ของ Google ปรับเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ เพื่อให้การค้นหาตอบโจทย์ผู้ใช้งานมากที่สุด จำเป็นต้องติดตามระบบการจัดอันดับเว็บไซต์หรือ Google Algorithm เพื่อคัดเลือกคีย์เวิร์ดที่คนค้นหามากที่สุดมาแทรกไว้ในบทความ เนื้อหาบทความทันสมัย น่าอ่านและมีประโยชน์ก็ไม่ได้หมายความว่าจะทำให้เว็บไซต์ติดอันดับที่ดีได้ ต้องอาศัยการปรับแต่งเว็บไซต์ด้านอื่น ๆ ด้วย Backlink ยังมีความจำเป็นอยู่แน่นอน

Backlink ยังคงมีบทบาทสำคัญต่อกลยุทธ์การทำ SEO ไม่ใช่น้อย Backlink คือเว็บไซต์อื่นลิงก์มาที่เว็บไซต์ของเรา ต้องเป็นลิงก์ที่มีคุณภาพเท่านั้นที่จะแสดงว่าเว็บไซต์ของเรามีคุณภาพน่าเชื่อถือ ยิ่งมีลิงก์คุณภาพเข้ามาจำนวนมากและมีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับเว็บไซต์ของเราด้วย ยิ่งส่งผลดีมีโอกาสที่จะติดอันดับหน้าแรกได้ง่ายขึ้น

ข้อดีที่เห็นได้ชัดของ Backlink คือการที่เว็บไซต์มีลิงก์เข้ามาช่วยเพิ่มจำนวนผู้ชมที่ติดตามเว็บนั้นเข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์ของเรา การเพิ่ม Traffic จากเว็บไซต์เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ทำให้เว็บไซต์มีโอกาสเข้าไปอยู่ในหน้าแรกของ Google มากขึ้นเช่นกัน โดยปกติแล้วหลังจากเว็บไซต์สร้างหน้าใหม่ขึ้นมายังไม่เป็นที่รู้จักและการทำ SEO ด้วยการลิงก์กับเว็บไซต์ที่มีชื่อเสียง ทำให้ดัชนีของ Google พบหน้าใหม่ของเว็บไซต์เร็วขึ้น

Backlink แบ่งออกได้หลายประเภท สำหรับมือใหม่ในด้านกลยุทธ์ SEO ควรทำความเข้าใจ 2 ประเภทหลัก ดังนี้

  • Dofollow Link คือลิงก์จากเว็บไซต์คุณภาพสูงมีประโยชน์ต่อการทำ SEO เนื่องจากเว็บไซต์คุณภาพลิงก์เข้ามาหาเว็บไซต์ของเราย่อมสร้างความน่าเชื่อถือในสายตาของผู้ใช้งานและส่งผลดีต่อการจัดอันดับเว็บไซต์ด้วย
  • Nofollow Link คือลิงก์ที่ให้ประโยชน์ในด้านเพิ่มคะแนนความนิยม (Domain Authority) เป็นหลัก โดยคะแนนความนิยมมีตั้งแต่ 0-100 ถ้ามีเว็บลิงก์เข้ามาจำนวนมาก แม้จะไม่ใช่เว็บไซต์คุณภาพทั้งหมด ถือว่ายังมีประโยชน์ในด้านเพิ่มอันดับเว็บไซต์ให้ดีขึ้นได้ แม้ว่าจะไม่ได้คะแนนความน่าเชื่อถือและไม่มีพลังในการทำ SEO มากเท่ากับลิงก์แบบ Dofollow ก็ตาม เปรียบเทียบให้เข้าใจง่ายๆ ลิงก์แบบ Nofollow คล้ายกับยอดกดไลค์ กดแชร์ในเฟซบุ๊ก ทำให้มีคนเห็นเว็บไซต์มากขึ้นและคลิกเข้ามาเว็บไซต์มากขึ้นในอนาคต เท่ากับว่ามีลูกค้าในอนาคตเพิ่มมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เป็นการเพิ่มยอดผู้เข้าชมในทางอ้อมซึ่งมีประโยชน์ช่วยให้อันดับเว็บไซต์ดีขึ้นอีกด้วย

การปรับเปลี่ยนวิธีการจัดอันดับเว็บไซต์ล่าสุด Google ไม่ได้ให้ความสำคัญกับ Backlink มากนัก ถึงแม้จะมีเว็บไซต์จำนวนมากลิงก์เข้ามาแต่ไม่ได้เป็นการรับประกันว่าเนื้อหาของเว็บไซต์นั้นมีคุณภาพและน่าเชื่อถือ วิธีการสร้าง Backlink ที่ดีคือการแชร์ในสื่อโซเชียลของตัวเอง Facebook , Twitter , Youtube ซึ่งจะเพิ่มจำนวนผู้เข้าชมได้อย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ต้องเสี่ยงลิงก์เว็บที่เว็บไม่ดีที่เสี่ยงจะถูก Google แบนได้

สรุปว่า กลยุทธ์การทำ SEO ด้วย Backlink จึงต้องมีความเชื่อมโยงกับเว็บไซต์ที่มีคุณภาพเท่านั้นยังไม่พอ ต้องมีเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับอย่างเป็นธรรมชาติด้วย จึงจะเป็นลิงก์ที่น่าเชื่อถือและทำให้การติดอันดับใน Google ดีขึ้นได้

มือใหม่เรียนรู้กลยุทธ์ SEO เริ่มต้นด้วยคีย์เวิร์ดก่อน

คีย์เวิร์ดที่ใช้ในการค้นหาถือเป็นปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งในการทำ SEO โดยทุกบทความจะต้องมีคีย์เวิร์ด ธุรกิจที่มีเว็บไซต์ของตัวเองควรวิเคราะห์คีย์เวิร์ดที่เหมาะสมกับสินค้าหรือแบรนด์ของตนเองแล้ว ส่วนเรื่องที่จะต้องนำไปใส่ตรงส่วนไหนของเว็บไซต์บ้าง เรามีคำตอบมาให้แล้ว ติดตามกันได้เลย

การทำ SEO เป็นกลยุทธ์การตลาดที่มีบทบาทสำคัญทำให้เว็บไซต์ของคุณขึ้นติดหน้าแรกของผลการค้นหาใน Google สำหรับมือใหม่ที่กำลังเรียนรู้เทคนิคการทำให้เว็บไซต์อยู่ในอันดับแรก ๆ ควรเรียนรู้เรื่องคีย์เวิร์ดก่อน เพราะถ้าเลือกคีย์เวิร์ดได้ดี จะไม่เพียงทำให้ลูกค้าค้นหาเจอเว็บไซต์ของคุณก่อนคู่แข่งเท่านั้น แต่ยังช่วยตอบโจทย์ความสนใจของกลุ่มเป้าหมายได้ตรงจุดด้วย

คีย์เวิร์ดควรใส่ตรงตำแหน่งไหนบ้าง

  • ในคอนเทนต์หรือบทความ การใส่คีย์เวิร์ดในบทความจะมีคำเดียวก็ได้ หรือหลายคำแบ่งเป็นคีย์เวิร์ดหลักและคีย์เวิร์ดรอง สิ่งสำคัญคือการเลือกคีย์เวิร์ดทั้งแบบสั้นและแบบยาวเพื่อให้ครอบคลุมคำที่คนใช้ค้นหา มือใหม่ควรเลือกใช้คีย์เวิร์ดยาวที่ประกอบด้วยหลายคำ เช่น “เสื้อผ้า ผู้ชาย ฟรีไซส์ ประตูน้ำ ราคาถูก” เพื่อตีกรอบสิ่งที่ต้องการให้แคบลง ทำให้การแสดงผลน้อยลงและเข้าถึงสิ่งที่สนใจได้ตรงจุดที่สุด
  • ในชื่อหัวเรื่องและหัวข้อย่อย เป็นส่วนหนึ่งในบทความที่จะทำให้คีย์เวิร์ดนั้นเด่นขึ้น ช่วยให้เกิดความเชื่อมโยงและมีโอกาสทำให้หน้าเว็บติดอันดับมากขึ้น
  • ในชื่อ URL โดยใส่คีย์เวิร์ดหลักอยู่ในชื่อ URL ด้วย เพื่อให้เชื่อมโยงกับคอนเทนต์ และช่วยให้บทความเข้าตาและติดอันดับที่ดีขึ้นเช่นกัน
  • ในหน้า Landing Page คือหน้าเว็บไซต์ที่คนคลิกเข้ามาเห็นเป็นหน้าแรกของแต่ละเว็บ แสดงภาพรวมให้เห็นว่าเป้าหมายของเว็บไซต์นั้นคืออะไร จากนั้นจึงตัดสินใจเลือกกดเข้าดูหน้าอื่น ๆ ต่อไป โดยปกติคนที่ค้นหาสินค้าจะใส่คีย์เวิร์ดค้นหาซึ่งการแสดงผลจะลิงก์เข้าไปในหน้าสินค้าโดยตรง ผู้ที่สนใจค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมจึงจะเข้าหน้า Landing Page เพื่อทำความรู้จักเว็บไซต์เพิ่มเติมนั่นเอง โดยมากในหน้านั้นจะมีข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าที่จำหน่ายและแคมเปญการตลาด เป็นต้น

สำหรับคนที่ยังไม่รู้วิธีเลือกคีย์เวิร์ดที่เหมาะสมกับธุรกิจ ลองพิจารณาจากเว็บไซต์ของคู่แข่ง สินค้าที่อยู่ในตลาดเดียวกันสามารถใช้คีย์เวิร์ดร่วมกันได้ เว็บไซต์ชั้นนำมักจะทำ SEO โดยผ่านการวิเคราะห์ข้อมูลมาอย่างดีด้วยทีมผู้เชี่ยวชาญมืออาชีพ เพิ่มโอกาสให้คนค้นเจอบทความในเว็บไซต์ของคุณมากขึ้น หรือใช้ Google Keyword Planner เพื่อดูปริมาณการค้นหาคีย์เวิร์ดซึ่งตอบโจทย์ลูกค้าเป้าหมายได้ดียิ่งขึ้น

หากคุณเป็นมือใหม่กำลังหัดเขียนบทความให้เอื้อต่อ SEO เมื่ออ่านจบและลองทำตามวิธีการข้างต้น ใส่คีย์เวิร์ดที่ตรงกับตำแหน่งต่าง ๆ ช่วยให้คนมองเห็นบทความและทำให้เว็บไซต์ไต่อันดับไปอยู่หน้าแรก ๆ ของ Google ซึ่งจะเพิ่มโอกาสปิดการขายก่อนเว็บไซต์คู่แข่ง