หมวดหมู่: SEO Guru

เราจะทำบทความ SEO ด้วยตัวเองหรือจ้างดีกว่ากัน

บทความ SEO เป็นหัวใจสำคัญของการทำเว็บไซต์ที่ดึงดูดใจผู้อ่านหรือลูกค้ากลุ่มเป้าหมายให้เข้ามาในเว็บไซต์ซ้ำอีก เพื่ออ่านสาระเพิ่มพูนความรู้หรืออ่านรีวิวประกอบการตัดสินใจซื้อสินค้าบางอย่าง หากจะถามว่าในฐานะเจ้าของเว็บไซต์ เราควรเขียนบทความ SEO เองหรือจ้างคนเขียนดีกว่ากัน มีประเด็นต่าง ๆ ที่ควรคำนึงถึง ดังนี้

  1. ความเชี่ยวชาญในเรื่องที่จะเขียน
    หากคุณเป็นนักธุรกิจที่เริ่มต้นจากศูนย์แล้วค่อย ๆ ก่อร่างสร้างตัวเป็นธุรกิจของตัวเองหรือผลิตสินค้านั้นด้วยตัวเองแทบทุกขั้นตอน คุณย่อมรู้ดีถึงข้อมูลสินค้าตั้งแต่วัตถุดิบกระบวนการผลิต การบรรจุ การจัดส่ง ฯลฯ อันเป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับเขียนบทความชนิดรู้ลึกรู้จริงดึงดูดใจคนอ่าน กรณีนี้เราสนับสนุนให้คุณเขียนด้วยตัวเอง แต่หากคุณไม่มีความรู้ในตัวสินค้า หรือ ถ่ายทอดความรู้ไม่เก่ง ก็สามารถนำข้อมูลที่คุณมีอยู่ ส่งต่อให้นักเขียนมืออาชีพเขียนเป็นบทความ SEO ก็ได้
  2. งบประมาณที่มี
    บทความ SEO เป็นสิ่งที่ต้องทำทุกวัน เพื่ออัปเดตเรื่องราวใหม่ ๆ ที่น่าสนใจ โดยเฉพาะเพจใน Facebook ที่ต้องมีการนำเสนอความแปลกใหม่ เพื่อกระตุ้นยอดขายอย่างสม่ำเสมอ หากคุณเขียนบทความเองได้ จะประหยัดค่าจ้างเขียนเดือนละหมื่นกว่าบาทได้ แต่หากต้องการเอาเวลาที่มีอยู่ไปใส่ใจในเรื่องการบริหารและคิดค้นผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ก็ควรยกหน้าที่นี้ให้นักเขียนที่มีความสามารถแทน
  3. ความเข้าใจหลักการ SEO
    SEO เป็นหลักการที่ทั้ง Facebook, Google และ Youtube มีแบบแผนของตัวเองที่คุณจำเป็นต้องเรียนรู้และหมั่นฝึกฝน มีการวิเคราะห์พัฒนาการของการทำ SEO ด้วยสถิติเพื่อปรับปรุงอยู่เสมอ หากคุณสามารถทำได้เองก็ลงมือเลย แต่หากไม่ถนัด เราแนะนำให้จ้างบริษัทรับทำ SEO ซึ่งมีนักเขียนที่มีความชำนาญอยู่ในทีมดีกว่า
  4. การเขียนบทความเฉพาะวัตถุประสงค์
    บทความ SEO ที่ใช้เพื่อการโปรโมทสินค้าหรือรีวิวกระตุ้นยอดขายเฉพาะช่วงเวลาสั้น ๆ จำเป็นต้องใช้เทคนิคดึงดูดคนอ่านหรือมีแคปชั่นบางอย่างที่ต้องใช้สถิติวิเคราะห์ หากเจ้าของเว็บไซต์มีทักษะในการเขียนที่ดีอยู่แล้ว ก็สามารถทำได้เองทันที แต่หากคุณต้องการจ้างนักเขียนมืออาชีพก็ได้เช่นกัน เพียงแต่ต้องจัดสรรงบประมาณเอาไว้เพื่อการนี้ ซึ่งจะมีค่าจ้างสูงกว่าการทำด้วยตนเอง

การจะจ้างเขียนบทความ SEO หรือการทำด้วยตัวเองนั้น คงไม่มีใครบอกได้ว่าควรทำแบบไหน หรืออาจจะทำแบบผสมผสาน คือ บางบทคุณเขียนเอง บางบทก็จ้างนักเขียนมืออาชีพ ทั้งหมดนี้ต้องมาจากการประเมินและวิเคราะห์ว่าคุณมีความถนัดหรือไม่ ประหยัดเวลาด้วยการจ้างนักเขียนจะดีกว่าไหม ต้องการควบคุมค่าใช้จ่ายแค่ไหน ฯลฯ แต่ไม่ว่าจะเลือกแบบใด หากงานเขียนบทความ SEO มีคุณภาพ ก็ย่อมทำให้เว็บไซต์ของคุณมีโอกาสประสบความสำเร็จได้เช่นกัน

แนะ 3 วิธีทำการตลาดบน Social Media เอาใจวัย Gen Z

“เงินอยู่บนฟ้า สินค้าอยู่บนมือถือ” เป็นคำกล่าวที่คงไม่เกินไปจากความเป็นจริงในโลกแห่งสมาร์ทโฟนและโซเชียลมีเดีย เมื่อความจริงเป็นเช่นนั้น นักธุรกิจและนักการตลาดออนไลน์ส่วนใหญ่จึงมุ่งไปที่แอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟนเพื่อเสริมกลุทธ์การทำการตลาดในโซเชียลมีเดียต่าง ๆ ให้มีประสิทธิภาพ โดยบรรดาบริษัทฯ เจ้าของแบรนด์และเว็บไซต์ต่าง ๆ ได้ทำการศึกษาและเข้าใจในพฤติกรรมของผู้บริโภคกลุ่มต่าง ๆ เพื่อนำมาวางกลยุทธ์ด้านการตลาดให้ดำเนินไปอย่างสัมฤทธิ์ผลตามเป้าหมายที่วางเอาไว้ โดยเน้นไปที่กลุ่มเป้าหมายในวัย Gen Z ที่มีอายุระหว่าง 9-24 ปี ซึ่งเป็นผู้ที่เกิดระหว่างปี 2540-2555 และเป็นเจเนอเรชั่นที่ทรงอิทธิพลและมีบทบาทต่อสังคมและเศรษฐกิจของประเทศไทยและทั่วโลกในอนาคต ดังนั้นเราจึงมีวิธีการทำการตลาดบน Social Media เพื่อเอาใจวัย Gen Z มาฝากให้เป็นไอเดียกันถึง 3 วิธี ดังต่อไปนี้

1.สร้างคอนเทนต์ที่มีคุณภาพเพื่อเป็นแรงจูงใจโดยศึกษาจากข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มเป้าหมาย เช่น เมื่อเราพบข้อมูลสถิติว่า วัย Gen Z พิจารณาเลือกซื้อสินค้าโดยเลือกจากฟังก์ชันการใช้งานมากกว่า ความคุ้มค่า หรือเหตุผลอื่นใด ยิ่งไปกว่านั้นคนในวัยนี้ จำนวนกว่า 85 เปอร์เซ็นต์ ยังเต็มใจจ่ายเงินเพิ่มเพื่อซื้อสินค้าในแบรนด์หรือผลิตภัณฑ์ที่มีคอนเทนต์หรือกิจกรรมเพื่อช่วยรณรงค์แก้ปัญหาสังคมและสิ่งแวดล้อม

2.สร้างตัวตนที่ชัดเจนและน่าสนใจผ่านแบรนด์สินค้าและบริการ เพราะคนเรามักชอบเรื่องเล่าที่บ่งบอกถึงความเป็นตัวตนและสอดคล้องกับ Customer Experience ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญที่กระตุ้นให้ผู้บริโภค หรือกลุ่มลูกค้าตัดสินใจซื้อสินค้าตามความต้องการมากกว่าความจำเป็นนั่นเอง

นอกจากนี้ ยังมีเรื่องของความน่าเชื่อถือที่จะช่วยให้ลูกค้าตัดสินใจง่ายขึ้น ในกรณีของผู้ค้าบนเฟซบุ๊ก การมีแค่หน้าเพจยังไม่พอ ผู้ประกอบการต้องมีการยืนยันเพจด้วย ประสิทธิ์ อธิบายว่าการยืนยันเพจจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าที่เป็นแฟนพันธุ์แท้ของแบรนด์ มีปฏิสัมพันธ์กับเรามากขึ้น และยังช่วยในการดึงลูกค้าที่หลงไปกับเพจปลอมต่างๆ ให้กลับมา

วิธีที่ 3 การเลือกใช้แพลทฟอร์ม ที่มีประสิทธิ์ หากพิจารณาจากเป้าหมายการใช้เวลากับโซเชียลมีเดียของกลุ่มGen Z แล้วจะเข้าใจวัตถุประสงค์ในการใช้งาน ที่แตกต่างกัน ยกตัวอย่างเช่น การเล่นเฟซบุ๊กก็เพื่อรับรู้ข้อมูลข่าวสาร เล่นอินสตาแกรมสำหรับแชร์เรื่องราวที่สนใจในชีวิตประจำวัน และติดตามเทรนด์ที่น่าสนใจในโลกโซเชียล เล่นทวิตเตอร์เพื่อแสดงความคิดเห็น และเล่น Tiktok ในการผ่อนคลายและค้นหาแรงบันดาลใจ เป็นต้น ดังนั้นจึงต้องเลือกใช้เฟซบุ๊ก เป็นแพลทฟอร์มหลักในการทำการตลาดออนไลน์ ซึ่งจะช่วยให้คอนเท้นต์และแผนกลยุทธ์เหล่านั้น ถูกส่งต่อจากลูกค้า กระจายไปยังกลุ่มเพื่อนและคนรอบข้างในเพจเฟซบุ๊กของกลุ่มเป้าหมายหรือกลุ่มลูกค้าได้อย่างรวดเร็วฉับไว และที่สำคัญยังช่วยขยายฐานข้อมูลผู้บริโภคที่เป็นกลุ่มเป้าหมายใหม่ๆ ให้เพิ่มขึ้นอย่างกว้างขวางและทวีคูณภายในเวลาจำกัด อย่างแม่นยำและมีประสิทธิภาพมากที่สุดด้วย

SEO ช่วยเพิ่มยอดขายให้ธุรกิจของคุณได้อย่างไร อยากรู้ต้องอ่าน!

สำหรับเจ้าของธุรกิจ แน่นอนว่าความต้องการอย่างหนึ่งที่เหมือนกันไม่ว่าจะเป็นธุรกิจประเภทใดก็ตาม นั่นคือทำให้มีคนรู้จักธุรกิจของเรามากขึ้น เพราะนั่นหมายถึงโอกาสที่จะได้ลูกค้ามากขึ้น หนึ่งในวิธีที่ได้รับความนิยมก็คือการลงโฆษณา แต่สำหรับเจ้าของธุรกิจที่มีเว็บไซต์เป็นของตัวเอง วิธีหนึ่งซึ่งได้ผลมากและอาจดีกว่าการลงโฆษณา คือการทำ SEO

แล้ววิธีนี้คืออะไร เพิ่มยอดขายได้อย่างไร เราจะมาหาคำตอบไปพร้อม ๆ กัน

การทำ SEO คือการทำให้เว็บไซต์มาปรากฏอยู่บนหน้าแรกของผลการค้นหาใน Google นั่นแสดงว่าวิธีนี้อ้างอิงกับคีย์เวิร์ด (Keyword) ที่ใช้ในการค้นหา เมื่อผู้เข้าเว็บไซต์กูเกิลพิมพ์คำค้นหาที่ตรงกับประเภทธุรกิจของเรา เว็บไซต์ของเราก็จะขึ้นมาอยู่บนหน้าแรก การที่เว็บไซต์มาอยู่บนหน้าแรกของผลการค้นหา มีผลทำให้ผู้ที่ค้นหารู้สึกว่านี่คือเว็บไซต์ที่น่าเชื่อถือหรือเป็นที่ยอมรับ และส่วนใหญ่ผู้คนก็จะเข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์ในหน้าแรก มากกว่าที่จะค้นหาในหน้าต่อไป

แน่นอนว่าการทำ SEO เป็นขั้นตอนประชาสัมพันธ์เว็บไซต์ที่ต้องลงทุน เพราะต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญ แม้ว่าจะต้องลงทุนเช่นเดียวกับการลงโฆษณา แต่ผลที่ได้นั้นคุ้มกว่ามาก ส่วนจะคุ้มกว่ายังไง ไปดูกันต่อได้เลย

สิ่งที่เห็นได้ชัดมากที่สุดเมื่อเว็บไซต์ของเราขึ้นไปอยู่ในหน้าแรกของผลการค้นหา ก็คือมีผู้เข้าชมเว็บไซต์มากขึ้น แน่นอนว่าคนที่ค้นหาจนมาเจอเว็บไซต์ของเรา ต้องมีพื้นฐานมาจากการที่พวกเขาต้องการสินค้าหรือบริการของเรา เมื่อพวกเขาเห็นเว็บไซต์ของเราก่อน โอกาสที่จะกลายมาเป็นลูกค้าก็มีมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเราทำเว็บไซต์ให้น่าสนใจ ดึงดูดใจคนเหล่านั้นได้ พวกเขาก็จะไม่มองหาสินค้าหรือบริการจากรายอื่น ทำให้การตัดสินใจของลูกค้าง่ายขึ้น ส่งผลให้ยอดขายเพิ่มขึ้น

ผลที่ดีมาก ๆ อีกประการของการทำ SEO คือเราสามารถมองเห็นข้อมูลทางสถิติได้ เช่น เรารู้ได้เลยว่าหลังจากทำแล้ว มีผู้เข้าชมเว็บไซต์ของเราจำนวนเท่าไหร่ ซึ่งถ้าเทียบดูแล้ว จะเห็นได้เลยว่าก่อนทำและหลังทำ จำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ที่สำคัญคือเรายังนำตัวเลขนั้นมาต่อยอดได้ โดยพิจารณาว่าจากผู้ที่เข้าชม มีกี่คนที่หันมาเป็นลูกค้า ถ้าลูกค้าเพิ่มขึ้นในอัตราที่เรายังไม่พอใจ เราก็สามารถปรับปรุงหน้าเว็บไซต์หรือพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้ามากขึ้นได้

สุดท้าย เมื่อเรามีการทำ SEO ที่ดี แปลว่ามีคนรู้จักเว็บไซต์ของเราเป็นจำนวนมาก ทำให้ขยายฐานลูกค้าได้มากขึ้น เมื่อรวมเข้ากับการมีสินค้าและบริการที่ดี ในที่สุดลูกค้าก็จะกลับมาใช้บริการซ้ำ และยิ่งไปกว่านั้น ลูกค้ายังบอกต่อ ๆ กันไปอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นการพูดแบบปากต่อปาก หรือการแชร์เว็บไซต์ของเราไปในโซเชียลมีเดีย ทำให้ฐานลูกค้าขยายออกไปได้ไม่รู้จบ ในที่สุดผลที่เห็นชัดที่สุดก็คือยอดขายที่เพิ่มขึ้น ทั้งหมดนี้จะไม่เกิดขึ้นเลยหากคุณไม่เริ่มต้นทำ SEO

เทคนิคการเขียนบทความทำ SEO ให้เว็บไซต์ติดอันดับสูง

เมื่อพูดถึงการทำ SEO ให้เว็บไซต์ติดอันดับหน้าแรก ๆ ในการค้นหาผ่าน Google เป็นที่เข้าใจกันว่ายิ่งเว็บไซต์อยู่ในอันดับแรก ๆ ได้มากเท่าไร ยิ่งค้นพบง่ายและรวดเร็ว ดึงดูดผู้เข้าชมจำนวนมาก หากเขียนบทความน่าอ่านและมีประโยชน์ทำให้คนอ่านติดตามต่อเนื่องยิ่งเป็นประโยชน์ต่อเว็บไซต์ เรามีเทคนิคการเขียนบทความที่ไม่เพียงทำให้เว็บไซต์ติดอันดับสูงขึ้นได้เท่านั้น แต่ยังทำให้ผู้อ่านประทับใจอีกด้วย มาดูกันว่ามีรายละเอียดอย่างไรบ้าง

1.ขั้นแรกคือการสร้างสรรค์บทความ ที่มีชื่อเรื่องสะดุดตาและเนื้อหามีประโยชน์ตรงกับความต้องการของผู้อ่าน รวมทั้งตั้งชื่อหัวข้อหลักและหัวข้อรองให้ชัดเจน เป็นประโยชน์ต่อการวางโครงสร้างให้เขียนบทความได้ลื่นไหลและอ่านง่าย ถ้ายังไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไร แนะนำวิธีง่าย ๆ คือเข้าไปดูเว็บไซต์ของธุรกิจประเภทเดียวกันและสังเกตว่าบทความแบบไหนได้รับความนิยมและมีคนติดตามอ่านจำนวนมาก สามารถใช้เป็นแนวทางในการเขียนบทความใหม่ ๆ พร้อมกับตั้งชื่อเรื่องให้โดนใจง่ายขึ้น

2.คีย์เวิร์ดที่มีคนค้นหามาก ช่วยให้พบบน Google ได้ง่าย คำยอดนิยมต้องตรงกับเนื้อหาบทความที่เขียน โดยเลือกคำยอดนิยมจาก Google Keyword Planner ช่วยให้เลือกคีย์เวิร์ดที่เหมาะสม พร้อมกับสำรวจหาคำใหม่ ๆ ที่อาจมีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น ใส่คีย์เวิร์ดลงใน Headline, Meta Description, ลิงก์ URL และรูปภาพ

3.บทความที่เขียนไม่สั้นเกินไป บทความที่ดีควรมีความยาวอย่างน้อย 500 คำ โดยส่วนใหญ่บทความที่มีผลดีต่อการทำ SEO และมักขึ้นอยู่ในหน้าแรก Google มักจะมีเนื้อหาความยาวประมาณ 1,500-2,000 คำ บทความยาวเท่าไรยิ่งเขียนเจาะเนื้อหาลึกขึ้นเท่านั้น

4.เลือกคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้อง และใส่กระจายให้ทั่วบทความ ย่อหน้าแรกครอบคลุมเนื้อหาสำคัญและไม่ยาวเกินไปเพื่อให้อ่านง่ายและดึงดูดผู้อ่าน หากต้องการแชร์เนื้อหาบนโซเชียลมีเดีย เช่น Facebook และ LINE ควรปรับเนื้อหาให้กระชับน่าอ่านเหมาะสมกับการอ่านบนหน้าจอมือถือ ทำให้แชร์ง่ายและดึงดูดปริมาณการเข้าเว็บไซต์มากยิ่งขึ้น

5.การเพิ่มมีเดียหลายรูปแบบลงในบทความ ไม่ว่าจะเป็นรูปภาพ วิดีโอ หรือกราฟิกอื่น ๆ นำมาใช้กับคอนเทนต์เพื่อเพิ่มความน่าสนใจ

6.การสร้าง Backlink ที่มีคุณภาพ โดยลิงก์กับเว็บไซต์ที่น่าเชื่อถือ ส่งผลให้มีการลิงก์กลับมายังเว็บไซต์ของเราและเพิ่มความน่าเชื่อถือในเว็บไซต์มากขึ้น การทำลิงก์กับเว็บไซต์อื่น ๆ ไม่ควรระดมยิงลิงก์จำนวนมากมารวดเดียวเพราะจะดูผิดปกติและตกเป็นเป้าสายตาของ Google ว่าเป็น Spam ได้ง่าย ๆ การทำลิงก์แบบ Guest Post ให้เว็บอื่น ๆ ลิงก์กลับมาหาเว็บของเราเป็นวิธีการที่มีประสิทธิภาพซึ่งจะช่วยเพิ่มยอดผู้เข้าชมเว็บไซต์ในระยะยาว

หลังจากใช้เทคนิคทั้งหมดแล้ว ใช้ Google analytics เพื่อวิเคราะห์ผลลัพธ์ดูว่าการเข้าชมเพิ่มขึ้นเท่าไร เพิ่มอันดับในหน้าเสิร์ชเอ็นจินได้หรือไม่ แล้วนำมาพัฒนาคอนเทนต์ที่ดีเพื่อทำ SEO ให้ติดอันดับใน Google ได้ดีขึ้น

อัปเดตเทรนด์ Facebook Fanpage SEO 2021

Facebook เป็นสื่อ Social media ที่มีจำนวนผู้ใช้งานหลายล้านคนทั่วโลก ทำให้ Facebook Fanpage จึงเปรียบเสมือนหน้าร้านที่มีผู้คนเดินผ่านอยู่เสมอ แต่การสร้าง Fanpage เฉย ๆ โดยไม่นำเทคนิค SEO หรือ Search engine optimization (เครื่องมืออัปเดตอันดับบน Search Engine เช่น Google, Bing หรือ Yahoo เป็นต้น) ทำให้หลายคนพลาดโอกาสในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการ โดยวิธีการทำ SEO บน Facebook Fanpage ในปี 2021 มีวิธีการ ดังนี้

หาคีย์เวิร์ด (คำค้นหา) ทองคำให้เจอ สำหรับมือใหม่ที่อยากสร้างรายได้ด้วยการขายของ หรือบริการบน Facebook Fanpage มักจะทำการเปิดเพจโดยไม่ได้หาคีย์เวิร์ดทองคำเตรียมเอาไว้ ซึ่งความสำคัญของการหาคีย์เวิร์ดทองคำที่มีจำนวนกลุ่มเป้าหมายค้นหาเยอะและมีการแข่งขันน้อย ย่อมทำให้ Facepage ติดอับดับบน Search Engine ได้ดีกว่า โดยเครื่องมือที่ใช้หาคีย์เวิร์ดทองคำ เรียกว่า Keyword Research ที่มีวิธีการทำงานง่าย ๆ เพียงนำคำที่ต้องการมาใส่ใน Keyword Research ก็จะทำการประมวลผลจำนวนคนค้นหาและความยากง่ายในการแข่งขันขึ้นมา โดยเว็บไซต์ Keyword Research ที่ได้รับความนิยม ได้แก่ Keyword Planner, ubersuggest และ Keyword Tool เป็นต้น

ตั้งหรือเปลี่ยนชื่อเพจให้หาง่าย เมื่อเราได้คีย์เวิร์ดที่ต้องการ นำคีย์เวิร์ดที่ได้มาใช้ในการตั้งชื่อและ URL เพราะจะช่วยให้ Search Engine แสดงผล Facebook Fanpage ของเราในหน้าแรกเมื่อมีกลุ่มเป้าหมายกดค้นหาด้วยคีย์เวิร์ดที่เราเลือกไว้ ทั้งนี้ความยาวในการตั้งชื่อ Facebook Fanpage ที่ดีไม่ควรเกินกว่า 50 ตัวอักษร

คำอธิบาย Fanpage สิ่งจำเป็นที่หลายคนมองข้าม คำอธิบาย Facebook Fanpage ไม่ได้มีไว้เพียงเพื่อให้ผู้ที่แวะเวียนเข้ามาในเพจทราบว่าเป็นเพจเกี่ยวกับอะไรเท่านั้น แต่การเขียนคำอธิบายที่แทรกด้วยคีย์เวิร์ดที่เราใช้ เป็นสิ่งที่ช่วยเพิ่มเปอร์เซ็นต์ในการทำอันดับบน Search Engine ด้วย และยังเป็นการสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้ใช้ด้วย

เปลี่ยนชื่อไฟล์ภาพเพิ่มความปัง เทคนิคเปลี่ยนชื่อไฟล์ภาพให้มีคีย์เวิร์ดเป็นสิ่งที่ช่วยเพิ่มโอกาสในการติดอับดับรูปภาพบน Search Engine นอกจากนี้ควรให้ความสำคัญกับการเขียนคำอธิบายภาพ (Alt) ใน Fanpage โดยวิธีการเปลี่ยนคำอธิบายภาพใน Fanpage สามารถทำได้ง่าย ๆ ด้วยการกดเข้าไป Edit และเลือกเปลี่ยนข้อความกำกับภาพ (Edit Alt text) โดยแทรกคีย์เวิร์ดเข้าไป เพราะจะเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำ SEO บน Fanpage ด้วย

อัปเดตคอนเทนต์สม่ำเสมอ การทำให้ Facebook Fanpage ติดอันดับบน Search Engine ควรมีการอัปเดตบทความหรือคอนเทนต์ลงใน Fanpage อย่างสม่ำเสมอ โดยบทความที่นำมาโพสต์สามารถใช้เป็นบทความสั้นความยาวประมาณ 300 – 500 คำและมีคีย์เวิร์ดแทรกอยู่ในบทความประมาณ 3 – 5 ครั้ง

Facebook Fanpage เป็นหนึ่งในช่องทางสร้างรายได้จากการเขียนบทความและขายสินค้า/บริการที่มีมีวิธีการใช้งานง่าย ดังนั้นผู้ที่ต้องการประสบความสำเร็จในการทำ Facebook Fanpage จึงไม่ควรมองข้ามความสำคัญในการทำ Facebook Fanpage SEO

แจก 5 กลยุทธ์ในการทำ SEO เพื่อให้ธุรกิจเกิดภาพจำในใจผู้บริโภคอย่างรวดเร็ว

ปัจจุบันคือยุคของโลกออนไลน์ที่ผู้คนทุกมุมโลกมีปฏิสัมพันธ์กับบน Social Network ด้วยเหตุนี้จึงจำเป็นอย่างมากที่จะต้องเชื่อมโลกธุรกิจเข้ากับโลกออนไลน์ เครื่องมือหนึ่งที่ธุรกิจจะขาดไม่ได้ในการเข้าถึงผู้บริโภคคือการทำให้หน้าเว็บไซต์ของธุรกิจติดอันดับต้น ๆ ของการค้นหาใน Google และ Search Engine ต่าง ๆ หรือที่เรียกว่า SEO เพราะ Google ถือเป็นส่วนหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินชีวิตของผู้คนในยุคปัจจุบัน

วันนี้เราจะมาแจก 5 กลยุทธ์ในการทำ SEO เพื่อให้ธุรกิจเกิดภาพจำในใจของผู้บริโภคได้อย่างรวดเร็วกัน

1.ทำให้กลุ่มเป้าหมายรู้จักเว็บไซต์ของธุรกิจ ความหมายคือ ผู้คนมักเลือกใช้คำค้นหาเกี่ยวกับสิ่งที่สนใจหรือสิ่งที่ต้องการใน Google ดังนั้นการที่จะทำให้เว็บไซต์ของธุรกิจแสดงผลลัพธ์ของการค้นหาออกมา ข้อมูลหรือเนื้อหาในหน้าเว็บไซต์ควรจะมีคีย์เวิร์ดที่ผู้คนนิยมใช้ในการค้นหากัน เช่น หากทำธุรกิจเกี่ยวกับร้านอาหารอิตาลีในย่านสุขุมวิท หน้าเว็บไซต์ของเราต้องมีคำศัพท์เกี่ยวกับอาหารอิตาลี หรือมีคำศัพท์ที่ผู้กินอาหารอิตาลีนิยมใช้ค้นหา และยังต้องมีการบอกถึงที่ตั้งใน Google Business และ Google Maps ด้วย

2.ออกแบบเว็บไซต์ให้น่าสนใจและสร้างเนื้อหาที่ดึงดูดใจ การสร้างเว็บไซต์ให้มีความน่าสนใจด้วยรูปภาพหรือภาพกราฟิกที่สั้น เข้าใจง่าย ก็เป็นส่วนสำคัญของการทำ SEO ด้วยเช่นกัน เนื่องจากหาก Google ตรวจสอบและประเมินว่าเว็บไซต์ของเราแสดงผลลัพธ์ของการค้นหาได้บ่อย รวมถึงมีการปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้บริโภค Google จะสามารถผลักดันให้เว็บไซต์ของธุรกิจติดอันดับของการค้นหาในลำดับต้น ๆ ได้

3.สร้าง Content ดี ๆ บนหน้าเว็บไซต์ ข้อนี้ก็มีส่วนช่วยให้ธุรกิจเป็นที่รู้จักได้ไม่มากก็น้อยเช่นกัน โดยเฉพาะการประชาสัมพันธ์สินค้าหรือบริการของธุรกิจที่เป็นประโยชน์ ตอบโจทย์ความต้องการหรือ สามารถแก้ไขปัญหาให้กับผู้บริโภคได้ โดยอาจสร้างบทความให้ความรู้เกี่ยวกับสินค้าหรือบริการที่เจาะจงกับผู้บริโภคบางกลุ่ม หรืออาจเผยแพร่เกี่ยวกับบทความดี ๆ ในด้านอื่นที่เป็นประโยชน์ต่อคนทั่วไปได้ เพราะอย่างน้อยหาก Content ของเราเป็นที่ถูกใจ ย่อมได้รับการแชร์หรือส่งต่อข้อมูลต่อไปด้วย

4.การทำ SEM ควบคู่กับ SEO ก็สำคัญไม่น้อยกว่ากัน เนื่องจาก SEO คือการปรับปรุงเว็บไซต์ให้มีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับความต้องการของ Search Engine ซึ่งต่างกับการซื้อโฆษณาบนหน้า Google ที่ผู้บริโภคสามารถค้นหาเจอเว็บไซต์ของเราได้โดยตรงในพื้นที่โฆษณา ซึ่งจะทำให้ธุรกิจเข้าถึงผู้บริโภคได้รวดเร็วกว่า แต่ก็มีค่าโฆษณาแบบต่อคลิกเป็นต้นทุนด้วย

5.Comment ใครคิดว่าไม่สำคัญ เนื่องจากคนบนโลกออนไลน์ชอบแชท ชอบแชร์และรีวิวกันอยู่แล้ว หากเราสร้างหน้า Content ของเราให้มีช่อง Comment ด้วย ก็เหมือนเป็นเครื่องมือที่ให้ผู้บริโภคได้มีการสื่อสารและส่งต่อข้อมูลหากัน ถือว่าเป็นการประชาสัมพันธ์แบรนด์ของธุรกิจไปในตัว

การแข่งขันกันบนโลกออนไลน์นั้นสูงมาก อีกทั้งมีการกระจายข้อมูลข่าวสารกันอย่างรวดเร็ว ดังนั้นธุรกิจจึงต้องเดินหน้าให้เร็วตามด้วยเช่นกัน การทำ SEO เป็นสิ่งที่ทำได้ง่ายที่สุด แต่จะสามารถเห็นผลได้เร็วหรือช้านั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยอีกหลายอย่าง เช่น คุณภาพของหน้าเว็บเพจ คู่แข่ง ความเร็วการโหลดข้อมูล ฯลฯ ซึ่งต้องอาศัยประสบการณ์ โดยคำนึงถึงประโยชน์ที่ผู้ใช้จะได้รับเป็นสำคัญ หากปรับแต่งปัจจัยต่าง ๆ ได้ถูกต้อง ก็จะสามารถติดอันดับที่ดีขึ้นเรื่อย ๆ จนติด Top10 หน้าแรกได้ในที่สุด

ประโยชน์ของการทำ SEO สำคัญต่อธุรกิจขนาดเล็กอย่างไร

การทำ SEO เป็นเรื่องพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับธุรกิจที่ต้องการให้เว็บไซต์เป็นที่รู้จักในโลกออนไลน์ การโฆษณาผ่านโซเชียลมีเดียส่งผลดีต่อการค้นหา ทำให้ลูกค้ารู้จักแบรนด์มากขึ้น ไม่เพียงเข้าถึงลูกค้าง่ายแต่ยังเพิ่มความน่าเชื่อถือในตัวสินค้า ส่งผลให้ยอดขายออนไลน์เพิ่มขึ้นตามไปด้วย หากไม่แน่ใจว่าธุรกิจขนาดเล็กควรลงทุนในการเพิ่มประสิทธิภาพกับเครื่องมือค้นหา (SEO) หรือไม่ ลองพิจารณาประโยชน์ของกลยุทธ์การตลาดในยุคดิจิทัลว่าสำคัญต่อธุรกิจขนาดเล็กอย่างไร มีดังต่อไปนี้

1.เว็บไซต์ใช้งานง่าย การทำ SEO ช่วยให้เจ้าของธุรกิจขนาดเล็กสร้างเว็บไซต์ง่ายและเร็วขึ้น มีโครงสร้างที่ดีใช้งานง่าย ทำให้เข้าถึงสิ่งที่ต้องการได้รวดเร็วและราบรื่น ผู้ใช้บริการพอใจเข้าใช้เว็บนานและบ่อยขึ้น มีบทความน่าอ่านและตอบคำถามรวดเร็ว ถูกต้อง และถูกใจลูกค้าที่ค้นพบสิ่งที่ต้องการในที่สุด ดังนั้น นิยามของการทำ SEO สมัยนี้จึงไม่เพียงเพิ่มประสิทธิภาพของเครื่องมือค้นหาเท่านั้น แต่ยังให้ประสบการณ์ที่ประทับใจแก่ผู้ใช้งานด้วย

2.เว็บไซต์ที่โดดเด่นกว่าคู่แข่ง จะดึงดูดผู้เข้าชมและเพิ่มฐานลูกค้ามากขึ้น SEO เป็นกลยุทธ์ทางการตลาดที่มีประสิทธิภาพและราคาถูกที่สุดในปัจจุบัน ช่วยลดต้นทุนการโฆษณา หากธุรกิจออกแบบเว็บไซต์ที่มีการทำ SEO จะดึงดูดลูกค้าเป้าหมายโดยตรง ทำให้มีลูกค้ามากขึ้นและเติบโตเร็วกว่าธุรกิจที่ไม่มีเว็บไซต์ถึงสองเท่า มีโอกาสขยายธุรกิจมากกว่ากลยุทธ์ทางการตลาดอื่น ๆ ที่เคยมีมา

3.ลดต้นทุนการโฆษณา การทำ SEO ยังให้ประโยชน์กับธุรกิจด้วยการวางแผนโฆษณาเข้าถึงสมาชิกทุกกลุ่มเป้าหมาย ตัวอย่างเช่น บริษัทรับตัดหญ้าและจัดแต่งสวนมีลูกค้า 2 เป้าหมายคือเจ้าของบ้านและเจ้าของธุรกิจ บริการมีรายละเอียดแตกต่างกัน ด้วยการทำ SEO จะกำหนดคำหลักในการเข้าถึงผู้ชมแต่ละกลุ่มได้ เช่น “บริการจัดสวนที่อยู่อาศัย” และ “บริการจัดสวนเชิงพาณิชย์” เป็นต้น

4.เว็บไซต์ที่ปรับแต่ง SEO จะโหลดเร็วขึ้น ใช้งานง่ายและรองรับการใช้บนอุปกรณ์มือถือและแท็บเลต จึงดึงดูดความสนใจจากคนรุ่นใหม่ที่ไม่ทนรอเว็บโหลดช้าและมักจะกดออกอย่างรวดเร็ว ถ้าเว็บไซต์ตอบโจทย์ได้ง่ายและเร็ว ย่อมผูกใจผู้ใช้งานให้เข้ามาเป็นลูกค้าประจำและกลับมาเยี่ยมชมเว็บไซต์บ่อยขึ้น

5.แบรนด์เป็นที่รู้จักมากขึ้น เมื่อเว็บไซต์ได้รับการจัดอันดับสูงขึ้น โดยเฉพาะเมื่อปรากฏอยู่ในหน้าแรกของเครื่องมือค้นหาหลัก เช่น Google, Yahoo และ Bing นั่นคือเหตุผลที่ธุรกิจขนาดเล็กต้องการให้แบรนด์เป็นที่รู้จักและสร้างความไว้วางใจในบริษัท ทำให้ลูกค้าเป้าหมายเชื่อมั่นในบริการของเว็บไซต์มากขึ้น ยิ่งกว่านั้นการทำ SEO ยังแสดงให้เห็นว่าธุรกิจเป็นมากกว่าผู้ผลิตสินค้าหรือผู้ให้บริการ แต่ยังเป็นแหล่งข้อมูลสำคัญซึ่งจะเพิ่มมูลค่าให้กับเว็บไซต์ด้วย

6.เพิ่มศักยภาพการแข่งขัน เว็บไซต์ที่มีการทำ SEO จะดึงดูดลูกค้าเข้ามาสู่เว็บไซต์ได้มากขึ้น เพราะลูกค้าพอใจบริการมากกว่าเว็บอื่น ๆ ที่ทำธุรกิจเดียวกันและขายผลิตภัณฑ์คล้ายกันในราคาที่ใกล้เคียงกัน

7.เพิ่มโอกาสกระตุ้นยอดขาย และขยายส่วนแบ่งการตลาดให้กับธุรกิจมากขึ้น เพราะ SEO จะผลักดันให้เว็บไซต์สู่สายตาของผู้ท่องอินเทอร์เน็ตมากขึ้นตามแต่คำค้นแต่ละคำ ซึ่งผู้ที่ค้นพบเว็บไซต์นั้นต้องการหาข้อมูลสินค้าอยู่แล้วและอาจเปลี่ยนกลายเป็นลูกค้าได้ในที่สุด เว็บไซต์ที่ติดอันดับหน้าแรก จึงมีโอกาสเพิ่มยอดขายได้แน่นอน

การทำ SEO เพื่อให้เว็บไซต์ของธุรกิจอยู่ในอันดับดีจะมีโอกาสต้อนรับผู้เยี่ยมชมจำนวนมาก จะเห็นได้ว่าคู่แข่งหลายรายล้วนทำการตลาด SEO ดังนั้น หากคุณยังไม่ได้ลงมือทำ SEO ก็เป็นโอกาสดีที่จะเริ่มต้นตั้งแต่ตอนนี้

สิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับการจ้างทำ SEO

การทำ SEO ถือว่าเป็นเทคนิคการตลาดออนไลน์ที่สำคัญในยุคปัจจุบัน เพราะทุกธุรกิจต่างได้รับผลกระทบจากไวรัสโควิคระบาด เมื่อต้องปฏิบัติตามหลักการรักษาระยะห่างทางสังคม (social distance) ทำให้ผู้คนไม่ออกมาจับจ่ายใช้สอยอย่างเคย อัตราการแข่งขันจึงสูงขึ้นในโลกออนไลน์ และทำให้มีบริษัทรับจ้างทำ SEO จัดตั้งขึ้นมากมาย ทั้งนี้ ก่อนจ้างงานบริษัทรับทำ SEO คุณควรรู้สิ่งต่อไปนี้

1.จ้างทำ SEO ประหยัดเวลาได้มากกว่าทำเอง
การจ้างบริษัทรับทำ SEO มีประโยชน์ที่ชัดเจน คือ ทำให้เจ้าของธุรกิจออนไลน์ให้ความสำคัญกับเรื่องอื่น ๆ เช่น การพัฒนาสินค้า การเจราจากับคู่ค้าใหม่ ๆ การศึกษาวิจัยความต้องการเทรนด์ของท้องตลาด ฯลฯ ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญไม่แพ้กัน การจ้างบริษัททำ SEO จึงเป็นทางออกที่ดีที่ช่วยประหยัดเวลาไปทำในเรื่องอื่นได้

2.SEO ต้องทำแบบสายขาว
การจ้างทำ SEO ต้องเลือกบริษัทหรือฟรีแลนซ์ที่ทำแบบ SEO สายขาว คือ ทำตามหลักเกณฑ์ของ Google เช่น

  • ผลิตบทความที่ไม่มีการลอกเลียนมาจากที่ไหน เพราะระบบ Google จะเช็คความซ้ำซ้อนได้
  • ไม่ใช้รูปภาพที่ละเมิดสิทธิ์ของผู้ถ่ายภาพจากเว็บไซต์ต่าง ๆ
  • ไม่ปั่น keyword คือใส่ keyword หลักและรองจำนวนมากเกินไป

การทำ SEO สายขาว จะทำให้ผู้เข้ามาในเว็บไซต์ได้รับสาระความรู้ที่มีประโยชน์ และช่วยให้อันดับการนำเสนอของเว็บไซต์ดีขึ้นจากการคำนวณผู้เข้าชมของระบบ Google

3.ยิ่งมีคุณภาพ ยิ่งกล้ารับประกัน
หากคุณเลือกบริษัทรับทำ SEO ที่เคยทำงานให้ลูกค้าทั้งภาครัฐและองค์กรเอกชนมายาวนานกว่า 5 ปี โอกาสที่จะได้ผลงานที่ดีคุ้มค่ากับค่าใช้จ่ายก็มากขึ้น และบริษัทที่มีศักยภาพในการทำงานสูง จะมั่นใจจนกล้ารับประกันผลงานว่าสามารถทำงานได้ตามเป้าหมายแน่นอน เช่น สามารถผลักดันให้อันดับเว็บไซต์ของลูกค้าได้เป็นอันดับ 1 ใน 3 หรือ 1 ใน 5 หรือ 1 ใน 10 ตามแพ็กเกจที่เลือก หากทำไม่ได้จะการันตีการคืนเงิน 100%

4.จ้างในราคาสมเหตุผล
การทำ SEO โดยผู้เชี่ยวชาญจะมีการคิดค่าบริการที่เหมาะสมเสมอ เช่น ต้องการติด 1 ใน 3 ของคีย์เวิร์ดหนึ่ง ๆ และยังคงผลเช่นนี้ต่อเนื่องไปอีกอย่างน้อย 90 วัน มักคิดค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 30,000 ถึง 50,000 บาท หากให้ติด 1 ใน 5 มักจะอยู่ที่ 10,000-20,000 บาท และ 1 ใน 10 มักจะอยู่ในช่วงค่าใช้จ่าย 3,000-5,000 บาท หากมีรายใดรับจ้างที่ค่าใช้จ่ายที่ถูกกว่านี้ อาจทำ SEO ที่ไม่ถูกต้องตามหลักการหรือคุณอาจถูกหลอกลวงจากกลุ่มมิจฉาชีพได้

หากเลือกบริษัททำ SEO ที่มีฝีมือ จะส่งผลให้ยอดขายสินค้าสูงขึ้นและทำให้แบรนด์ติดตลาดเป็นที่รู้จักได้อย่างรวดเร็วคุ้มค่าใช้จ่าย แต่หากเลือกผิดบริษัท นอกจากจะไม่ได้ผลงานตามที่ต้องการแล้ว ยังทำให้เสียโอกาสในการแข่งขันทางธุรกิจไปให้คู่แข่งรายอื่น จึงต้องพิจารณาในประเด็นต่าง ๆ ที่เราแนะนำไปอย่างรอบคอบ

SEO ทำกับ YouTube ได้อย่างไรบ้าง

ช่อง YouTube เป็นสื่อโซเชียลที่ได้รับความนิยมมากในกลุ่มคนรุ่นใหม่และคนที่ต้องการสร้างรายได้จากความสามารถพิเศษที่หลากหลาย และวิธีการตลาดออนไลน์แบบ SEO ก็ทำให้เพจและเว็บไซต์จำนวนมากมีอัตราการเติบโตสูงในด้านยอดผู้ติดตาม

เรามาดูกันว่า จะใช้หลักการ SEO กับ YouTube ด้วยวิธีใดได้บ้าง

  1. ทำความยาวของคลิปให้เหมาะสม

YouTube เป็นแพลตฟอร์มที่ใช้ในการนำเสนอคลิปภาพเคลื่อนไหว จากสถิติพบว่าผู้คนจะมีสมาธิในการชมคลิปวิดีโอได้ต่อเนื่องนาน 10 ถึง 15 นาที จึงเป็นเกณฑ์โดยเฉลี่ยที่ยูทูปเบอร์นิยมทำกัน ถ้าคลิปยาวเกินไป ก็จะรู้สึกเบื่อได้ง่าย ยกเว้นในบางกรณี เช่น การแคสเกมส์ หรือการไลฟ์สด สตรีมมิ่งเกี่ยวกับหุ้นหรือถามตอบเรื่องปัญหาชีวิต ที่คนนิยมดูต่อเนื่องนาน 30-45 นาที

  1. สร้างความประทับใจในช่วงต้นให้มากที่สุด

ต้นคลิป YouTube ควรดึงดูดใจผู้ชมได้สูง เพราะส่งผลต่อการตัดสินใจชมต่อหรือเปลี่ยนช่อง โดยเฉพาะ 15 วินาทีแรก การเลือกภาพปก ขนาดและสีสันตัวอักษร การเลือกเพลงที่เร้าใจ หรือแม้แต่การใช้คำทักทายผู้ชม ก็ต้องมีความพิถีพิถัน หากสามารถทำให้ผู้ชมติดตามได้ตลอดจนจบ ก็เท่ากับมีคะแนนด้าน SEO ที่ดีขึ้นและจะมียอดผู้ติดตามและแชร์ต่อไวมากขึ้น

  1. การนำเสนอประเด็นของคลิป

ยูทูปเบอร์มืออาชีพจะนำเสนอประเด็นของคลิปนั้น ๆ ไว้ตั้งแต่ช่วงต้น เพื่อให้คนดูจับประเด็นได้ง่ายขึ้นว่า หากติดตามดูจนจบ จะได้รับรู้ข่าวสารหรือได้ประโยชน์สาระในเรื่องใดบ้าง ทั้งนี้ การใส่กราฟิกประกอบที่เข้าใจง่ายแทรกเป็นช่วง ๆ ก็จะทำให้ผู้ชมรู้สึกเพลิดเพลินไม่เบื่อ และจดจำช่องยูทูปได้มากขึ้น ทำให้มักกลับเข้ามาชมบ่อย ๆ

  1. การชักชวนให้ติดตามแบบพอดี ๆ

การเชิญชวนให้กด like หรือกด Subscribe ผู้เชี่ยวชาญด้าน SEO แนะนำว่าควรทำในช่วงท้ายคลิปเพียงครั้งเดียว เพื่อไม่ให้เบี่ยงเบนความสนใจจากสาระที่ต้องการนำเสนอ และเป็นการสร้างความรำคาญให้กับผู้ชม

  1. การพูด keyword

ระบบ AI ของ YouTube สามารถแยกเสียงในคลิปได้ว่า คุณพูดคำว่าอะไรบ้าง ดังนั้น ควรพูดคำที่ตรงกับคีย์เวิร์ดในการสืบค้นของผู้คน ให้กระจายอยู่หลาย ๆ ครั้งตลอดคลิป โดยเฉพาะคำภาษาอังกฤษ จะมีผลในทางที่ดีต่ออันดับการสืบค้นในระบบ YouTube มากขึ้น

  1. การตั้งชื่อคลิป

ควรใส่ keyword ที่สอดคล้องกับเนื้อหา และตรงกับการสืบค้นในกระแสนิยมช่วงนั้น เช่น ชื่อหนัง ชื่อดารานำแสดง ชื่อเพลงประกอบซีรีส์ คำฮิตจากละคร เป็นต้น

จะเห็นได้ว่า การทำตามหลัก SEO มีประโยชน์ในการช่วยผลักดันให้ช่อง YouTube เติบโตได้ไว และทำให้คุณมีกำลังใจในการนำเสนอผลงานดี ๆ ต่อไปเรื่อย ๆ ด้วย หวังว่าบทความนี้จะเป็นแนวทางให้ทุกท่านนำหลักวิธี SEO ไปปรับใช้กับการพัฒนาช่อง YouTube ของตนเองได้อย่างเป็นรูปธรรมยิ่งขึ้น

SEO ในบทบาทนักธุรกิจออนไลน์รุ่นใหม่

หากคุณกำลังสนใจการทำธุรกิจออนไลน์ คำว่า SEO คือกระบวนการทำงานสำคัญที่คุณควรทำความรู้จัก ซึ่งไม่มีใครทำอะไรได้สำเร็จโดยไม่ลงมือทำอย่างจริงจัง วันนี้เราจะพาคุณไปทำความรู้จักคำว่า SEO เพิ่มมากขึ้น เพื่อเป็นทางเลือกในการเสริมประสิทธิภาพในการทำธุรกิจออนไลน์ของนักธุรกิจออนไลน์รุ่นใหม่ในยุคนี้

SEO ย่อมาจากคำว่า Search Engine Optimization หมายถึงกระบวนการปรับแต่งโครงสร้างหน้าตาเว็บไซต์ ให้สามารถเข้าถึงได้อย่างรวดเร็ว และปรับการเขียนเนื้อหาให้เป็นไปตามความต้องการของ เว็บ Search Engine เป็นวิธีการตลาดทางดิจิทัลที่จะช่วยให้เว็บไซต์ของสินค้า ธุรกิจและบริการของคุณเข้าไปอยู่ในหน้าแรกของ Google เมื่อมีการค้นหาด้วย Keyword (คีย์เวิร์ด) ที่กำหนดเอาไว้โดยไม่ต้องซื้อโฆษณา ซึ่งองค์ประกอบในการทำงานมีหลายขั้นตอน เช่น การใช้ Content แบบ Onsite ,Outreach การเขียน Blog รวมถึงการใส่ Keyword และการทำ Backlink เป็นต้น

การทำ SEO จึงเป็นช่องทางการตลาดออนไลน์ที่ต้องอาศัยทั้งระยะเวลาและการทำงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ในระยะยาว สามารถช่วยให้ธุรกิจของคุณมีช่องทางโปรโมทให้คนทั่วไปได้รู้จัก เพิ่มโอกาสในการขายและสร้างผลกำไรให้กับธุรกิจได้มากขึ้นด้วย หากคุณทำเว็บไซต์ ทีเด็ดบอลวันนี้ แล้วเว็บขึ้นไปติดอันดับ 1 ในคีย์เวิร์คที่เกี่ยวข้อง มั่นย่อมลดต้นทุนการโฆษณาลงไปได้เยอะทีเดียว

ปัจจุบันเทคโนโลยีของ Search Engine ได้มีการพัฒนาและปรับปรุงคุณภาพให้สูงมากยิ่งขึ้น เช่น Google (www.google.com) ซึ่งมาแรงเป็นอันดับหนึ่งของโลก, Bing (www.bing.com) ของบริษัท Microsoft ,Yahoo (www.yahoo.com), Ask.com (www.ask.com) , Baidu (www.baidu.com) ไป่ตู้ เป็นเว็บ Search Engine ของประเทศจีน มีบริการต่าง ๆ คล้ายกับ Google และ Wolframalpha (www.wolframalpha.com) เป็นเว็บไซต์สำหรับค้นหาข้อมูลในทางวิชาการ เป็นต้น และแม้ว่าช่องทางโซเชียลมีเดียอื่น ๆ จะมีกลยุทธ์ในการดึงดูดผู้ใช้เข้าสู่เว็ปไซต์ แต่ทว่า Search Engine ก็ยังคงเป็นช่องทางหลักสำหรับการเข้าสู่เว็บไซต์ต่าง ๆ ได้อย่างตรงกลุ่มเป้าหมายและเข้าใจง่ายที่สุด

สิ่งสำคัญสำหรับธุรกิจออนไลน์ที่ใช้ SEO

  1. การทำเว็บไซต์เพื่อรองรับการทำ SEO และศึกษาข้อมูลการทำ SEO อย่างจริงจัง
  2. หากต้องการว่าจ้างผู้อื่น แนะนำให้เลือกเอเจนซี่ที่มีความชำนาญ เพื่อดูแลการทำ SEO อย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง
  3. หมั่นตรวจสอบและปรับปรุงคุณภาพของการทำ SEO อย่างสม่ำเสมอ เพราะการทำ SEO เป็นช่องทางการตลาดทางเลือกใหม่ที่กำลังได้รับความนิยม และมีธุรกิจอีกนับร้อยนับพันที่กำลังก้าวเข้าสู่โลกออนไลน์
  4. การใช้ Keyword (คีย์เวิร์ด) หรือคำค้นหาข้อมูลผ่านเว็บ Search Engine ให้สอดคล้องกับ ธุรกิจสินค้าและบริการของคุณ เช่น ธุรกิจจำหน่ายรถยนต์มือสอง คีย์เวิร์ดที่ใช้ในบทความ SEO เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการค้นหา ได้แก่ รถมือสอง, รถยนต์มือสอง, ราคารถมือสอง, อะไหล่รถมือสอง หรือ ธุรกิจร้านอาหาร คีย์เวิร์ดที่ใช้ ก็ควรเป็นสินค้าและบริการในร้าน เช่น ก๋วยเตี๋ยว, ร้านอาหารตามสั่ง, ปิ้งย่าง ,อาหารจานเดียว เป็นต้น

ประโยชน์ของการทำ SEO มีหลายด้าน เช่น

  1. ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการทำการตลาดในระยะยาว
  2. ช่วยเพิ่มโอกาสทางธุรกิจ และเปิดโอกาสในการสร้างฐานลูกค้าใหม่
  3. ช่วยให้ธุรกิจได้รับการโปรโมทตลอดเวลาโดยอัตโนมัติ เมื่อมีผู้ใช้คำคีย์เวิร์ดในการค้นหา ก็จะพบเจอเว็บไซต์ของธุรกิจ

การทำธุรกิจออนไลน์อาจเป็นช่องทางที่ดีที่สุด ซึ่งหลายคนเลือกเป็นตัวช่วยให้ธุรกิจได้ไปต่อในภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่ทั่วโลกกำลังประสบอยู่ในขณะนี้ ดังนั้นการปรับตัวและมองหาเครื่องมือในการทำงานด้วยการพึ่งพาเทคโนโลยีและช่องทางการตลาดออนไลน์ จึงมีส่วนช่วยส่งเสริมให้นักธุรกิจออนไลน์รุ่นใหม่ ประสบความสำเร็จได้ตามเป้าหมาย