หมวดหมู่: SEO Guru

เลือกบริษัทรับทำ SEO อย่างไรถึงจะไม่พลาด

การทำ SEO หรือ search engine optimization สามารถทำได้ด้วยตัวของเจ้าของ ธุรกิจออนไลน์ เอง ซึ่งหากเป็นผู้ที่มีความรู้พื้นฐานในการทำการตลาดออนไลน์อยู่แล้ว ก็เป็นเรื่องไม่ยากเกินไปที่จะศึกษาและหมั่นอัปเดตความรู้เพิ่มเติม

แต่ผู้ที่ไม่มีประสบการณ์ในการทำ หรือจำเป็นต้องให้เวลากับการบริหารส่วนอื่นของงาน การเลือกจ้างบริษัททำ SEO แบบมืออาชีพจะช่วยประหยัดเวลาและทำให้ธุรกิจเติบโตได้บรรลุเป้าหมายมากขึ้น

การเลือกบริษัททำ SEO ที่ดีควรมีลักษณะอย่างไรบ้าง

1. จ้างบริษัทที่มีเอกสารยืนยันตัวตน

เอกสารสำคัญที่ควรมี คือ หลักฐานการจดทะเบียนการค้าถูกต้องตามกฎหมาย หากสืบค้นจากระบบออนไลน์ ต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่ามีการลงทะเบียนยืนยันตัวตนที่ชัดเจน มีช่องทางในการติดต่อที่สะดวก น่าเชื่อถือ เพื่อไม่ให้มีปัญหาในการติดตามงานและมีผู้รับผิดชอบหากไม่เป็นตามสัญญาจ้างทำ SEO

2. ต้องมีการพูดคุยให้เข้าใจก่อน

เพื่อให้เห็นทัศนคติและความเชี่ยวชาญในการทำ SEO บริษัทที่มีประสบการณ์สูงจะสามารถบอกได้ถึงขั้นตอนในการทำ SEO ที่ถูกต้อง ตามหลักการที่ Google กำหนด มีวิธีทำ SEO อย่างตรงไปตรงมา ไม่สร้างความคาดหวังที่เกินจริง เช่น การทำ SEO ไม่สามารถจะการันตีอันดับ 1 ได้ เพราะเป็นการวิเคราะห์ด้วยระบบ algorithm ผู้ที่รับทำ SEO แบบมืออาชีพและทำตามหลักเกณฑ์จะการันตีผลได้มากที่สุด ก็คือขึ้นอันดับ Top 5 หรือ Top 3 เท่านั้น หากยืนยันผลลัพธ์ที่สูงผิดสังเกต ก็มีโอกาสถูกหลอกลวงมาก

3. ไม่มีประวัติการฉ้อโกงงานนายจ้าง

ก่อนการทำสัญญาจ้างทำ SEO ควรเช็คประวัติจากการรีวิวของลูกค้ารายอื่นให้ละเอียด ด้วยการใช้ชื่อบริษัท เลขทะเบียนการค้า อีเมล ชื่อผู้รับผิดชอบเบอร์โทรศัพท์ และรายละเอียดอื่น ๆ เท่าที่หาได้ไปสืบค้น หากเคยมีคนเตือนภัยไว้ในพันทิปหรือในกลุ่ม Facebook ต่าง ๆ ก็ควรหลีกเลี่ยงการจ้างงานให้มากขึ้น

4. เลือกบริษัทที่มีการคิดค่าบริการเหมาะสม

การทำ SEO จะมีต้นทุนทั้งด้านเทคนิคและแรงงาน ทั้งต้องมีความสม่ำเสมอและใส่ใจในรายละเอียด จึงจะเห็นผลลัพธ์ในการทำที่ดี ฉะนั้นราคาค่าบริการจึงต้องเหมาะสมตามเกณฑ์มาตรฐาน ไม่ต่ำเกินไป เพราะจะเสี่ยงต่อการถูกหลอกลวง หรือหากสูงเกินไป ก็อาจเป็นภาระแก่เจ้าของเว็บไซต์ออนไลน์ได้

การเลือกบริษัททำ SEO ที่ดีควรมีลักษณะอย่างไรบ้าง

จะเห็นได้ว่า หลักการเลือกบริษัททำ SEO แบบมืออาชีพ จำเป็นต้องพิจารณาทั้งคุณสมบัติของตัวบริษัท ความสามารถจากผลการรีวิวที่ต่าง ๆ รวมถึงราคาที่เหมาะสมด้วย หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้ทุกท่านเลือกบริษัทที่ถูกใจและลดความเสี่ยงต่อการถูกหลอกลวง อันทำให้เสียโอกาสในการแข่งขันทางธุรกิจออนไลน์ได้มากขึ้น

การเขียนบทความทั่วไปต่างจากบทความ SEO อย่างไร นักเขียนรุ่นใหม่ควรรู้

การเขียนบทความทั่วไปต่างจากบทความ SEO อย่างไร

ปัจจุบันมีผู้ที่สนใจอยากทำอาชีพนักเขียนออนไลน์จำนวนมาก แต่ยังไม่ทราบความแตกต่างระหว่างแนวทางการเขียนบทความทั่วไปและบทความสำหรับทำ SEO ให้เว็บไซต์ เราจึงได้รวบรวมข้อมูลและคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดมาฝากกัน ดังนี้

การเขียนบทความทั่วไป

เป็นการผลิตบทความที่ต้องการสื่อสารไปยังกลุ่มคนเป้าหมาย ซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นเพื่อการสนับสนุนการทำธุรกิจ โดยมากจะหมายถึงบทความทางวิชาการ ผลงานวิจัย งานเขียนเชิงข่าวและสารคดี หรือการรีวิวสรุปข้อมูลจากแหล่งข้อมูลหรือสื่อหลายรูปแบบมารวมกัน โดยใช้ภาษาแนวทางการหรือกึ่งวิชาการ จึงทำให้นักเขียนที่รับทำงานเขียนบทความแบบทั่วไป ไม่จำเป็นต้องศึกษารายละเอียดเรื่องการทำการตลาดแบบ SEO ที่ต้องมีการใส่คำสำคัญที่เรียกว่า keyword เพียงแต่การมุ่งเน้นที่สาระสำคัญที่ต้องการสื่อสารไปยังผู้อ่านก็เพียงพอแล้ว

การเขียนบทความ SEO

เป็นการผลิตบทความให้สอดคล้องตามระบบ SEO หรือ search engine optimization ที่ Google กำหนดกติกาของบทความที่มีคุณภาพไว้ โดยลูกค้าของบทความ คือ บริษัทห้างร้านที่ต้องการให้บทความ SEO สนับสนุนด้านธุรกิจได้อย่างดี คือ เพิ่มอันดับการสืบค้นจากการหาด้วย Google ของลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย ซึ่งทำให้มีความเชื่อมั่นในแบรนด์มากขึ้นจากลูกค้า (ทำให้แบรนด์ติดตลาดง่าย) และที่สำคัญ ช่วยกระตุ้นยอดขายได้เป็นอย่างดี

การเลือก keyword หรือคำสำคัญ สำหรับทำบทความ SEO จึงสำคัญมาก ที่ต้องมีการสืบค้นและวิเคราะห์จาก Google search Console ซึ่งเป็นโปรแกรมที่ไม่คิดค่าใช้จ่ายจาก Google ในการเลือกคำที่ตรงกับการสืบค้นของกลุ่มลูกค้าเป้าหมายมากที่สุด และนำมาใส่ในส่วนต่าง ๆ ของบทความที่จะลงในรูปแบบออนไลน์ และยังรวมถึงส่วนอื่น ๆ เช่น Title (ส่วนหัวเรื่อง) Meta Description (ส่วนสรุปย่อที่มีความยาวไม่เกิน 150 คำ)

ตัวอย่างเช่น กลุ่มเป้าหมายคือ ผู้ที่กำลังมองหาบริษัทรับทำ SEO หากคุณเป็นบริษัทรับทำ SEO มีการใส่คีย์เวิร์ดว่า SEO ลงไปทั้งในส่วนหัวข้อและส่วนสรุปย่อ เช่น “บริษัทรับทำ SEO ประสบการณ์สูง เพิ่มยอดขายได้จริง ต้องดูอย่างไร” (หัวข้อ) และ “วิธีการพิจารณาบริษัทที่น่าเชื่อถือ เทคนิคการทำ SEO แบบมืออาชีพ เพื่อเพิ่มยอดขายให้แก่ธุรกิจคุณ ตามแนวทางการตลาด SEO สมัยใหม่” (Meta Description) จะทำให้ดึงดูดผู้เข้ามาชมข้อมูลในเว็บไซต์มากขึ้นคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาด

นอกจากนี้ ในตัวบทความ SEO เอง ยังต้องใส่คีย์เวิร์ดกระจายในส่วนต้น กลางและท้ายเรื่องอย่างเหมาะสม และไม่ใส่คำซ้ำมากเกินไปกว่า 2-4 ครั้ง เพื่อป้องกันไม่ให้ระบบ algorithm ของ search engine วิเคราะห์ว่าเป็นบทความคุณภาพต่ำ ซึ่งจะส่งผลต่ออันดับการสืบค้น SEO ของเว็บไซต์ธุรกิจนั้น ๆ ด้วย

จะเห็นได้ว่า การเขียนบทความทั่วไปแตกต่างจากการเขียนบทความ SEO อย่างมาก ซึ่งธุรกิจในปัจจุบันจะนิยมจ้างงานนักเขียนที่ทำงานเขียนแนว SEO ได้ดี เพื่อส่งเสริมธุรกิจมากขึ้น เราหวังว่าบทความนี้ จะเป็นแนวทางเบื้องต้นที่ทำให้นักเขียนออนไลน์รุ่นใหม่เรียนรู้ เพื่อที่จะทำผลงานเขียนได้มีประสิทธิภาพตรงกับเป้าหมายมากยิ่งขึ้น

ทำไมขายของออนไลน์ ต้องรู้เรื่อง SEO

การขายของผ่านช่องทางออนไลน์ในปัจจุบันมีคู่แข่งจำนวนมาก เนื่องจากเป็นช่องทางที่ทุกคนเข้าถึงกันได้อย่างรวดเร็วตลอด 24 ชั่วโมง ด้วยความเร็วของระบบอินเทอร์เน็ตทำให้ผู้ซื้อและผู้ขายติดต่อกันได้สะดวก ประกอบกับผู้ประกอบการรุ่นใหม่มีความคิดสร้างสรรค์ในการผลิตสินค้าและบริการเพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่หลากหลายมากขึ้น

ผู้ที่ต้องการประชาสัมพันธ์เว็บไซต์ในโลกออนไลน์ให้เป็นที่รู้จัก จึงต้องศึกษาการทำ SEO ให้กับเว็บไซต์ด้วยตัวเอง เพื่อการต่อยอดทางธุรกิจในระยะยาว

SEO หรือ Search Engine Optimization เป็นการพัฒนาเว็บไซต์ให้ เข้าสู่หลักเกณฑ์ที่ Search Engine อย่าง Bing, Yahoo และ Google กำหนดไว้ เพื่อให้มีการสะสมข้อมูลแล้วนำไปสู่การวิเคราะห์จากระบบ Algorithm ที่เป็น AI อัจฉริยะ อันเป็นตัวแสดงคุณภาพของเว็บไซต์ที่ชัดเจน เว็บไซต์ที่มีคุณภาพสูงจะปรากฏเป็นอันดับต้น ๆ ของหน้าต่างการสืบค้น ทำให้มีโอกาสได้รับยอดการสั่งซื้อสูงและทำให้แบรนด์เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง

การทำ SEO ให้กับเว็บไซต์ประกอบด้วย 2 ส่วน คือ On-Page SEO และ Off-Page SEO

1. On-Page SEO คือ การพัฒนาในส่วนโครงสร้างเว็บไซต์และเนื้อหาภายใน นั่นคือ บทความที่มีสาระความรู้สำหรับผู้อ่าน ซึ่งต้องสอดคล้องกับสินค้าและบริการที่จำหน่าย

Keyword SEO ที่ใช้ต้องมีการวิจัยว่าเป็นคำที่ตรงกับการค้นหาของกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย เมื่อนำมาเขียนเนื้อหา ต้องมีข้อมูลที่ทันสมัย ที่สำคัญคือ ไม่คัดลอกบทความจากแหล่งอื่น อันเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ ที่ระบบ AI จะวิเคราะห์ว่าเป็นบทความขยะ หรือ Spam ได้

นอกจากนี้ การพัฒนาโครงสร้างเว็บไซต์ให้ใช้งานได้ง่าย ทั้งกับหน้าจอโทรศัพท์มือถือและคอมพิวเตอร์ รวมถึงการเลือกรูปแบบตัวอักษรและธีมสีสันที่เป็นเอกลักษณ์ ก็มีผลอย่างมากในการเข้าถึงและเป็นที่จดจำได้ง่าย ความสวยงามที่ลงตัวจะดึงดูดใจลูกค้ากลุ่มเป้าหมายให้เข้ามาชมใช้เวลาในเว็บไซต์นานขึ้น ทำให้อันดับ SEO ดีขึ้นได้ด้วยทำไมขายของออนไลน์ ต้องรู้เรื่อง SEO

2. Off-Page SEO คือการทำ Backlink เพื่อเชื่อมโยงเว็บไซต์ทางธุรกิจกับห้องแชทหรือเว็บไซต์ออนไลน์ทั่วไป ตัวอย่างเช่น การแนะนำข้อมูลเกี่ยวกับการเลือกอาหารสด เทคนิคการเก็บอาหารให้สดได้นาน โดยที่คุณเป็นผู้จำหน่ายตู้เก็บความเย็น สำหรับโรงงาน โรงแรม ร้านอาหาร ฯลฯ

โดยไปแนะนำข้อมูลที่เป็นความจริง ในห้องแชท Pantip หรือ Facebook หากมีผู้ที่สนใจอุปกรณ์เครื่องใช้สำหรับการเก็บเนื้อสัตว์ให้สดได้ยาวนาน ก็สามารถสอบถามข้อมูลจากเว็บไซต์ของคุณและนำมาซึ่งการปิดยอดขายได้

จะเห็นได้ว่า การทำ SEO เป็นเทคนิคที่สร้างประโยชน์ให้กับเว็บไซต์ขายสินค้าและบริการออนไลน์ได้ทุกประเภท โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายให้แก่บริษัททำโฆษณา ผู้ที่สนใจ ขายของออนไลน์ จึงควรเรียนรู้การทำเว็บไซต์ SEO เสียแต่เนิ่น ๆ เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสในการสร้างแบรนด์ให้เป็นที่จดจำและเพิ่มยอดขายได้อย่างรวดเร็ว

ทำเว็บไซต์ SEO แล้วจะเช็คการเปลี่ยนแปลงได้อย่างไร

การทำเว็บไซต์ SEO (Search Engine Optimization) เป็นสิ่งที่กูรูทางการตลาดแนะนำให้ผู้ทำเว็บไซต์ต้องพัฒนาตามหลักเกณฑ์ที่ Search Engine อย่าง Google กำหนด เนื่องจากทำให้ระบบ Algorithm ประมวลและวิเคราะห์อันดับของเว็บไซต์ได้ และนำเสนอผลเป็นอันดับในหน้าต่างการสืบค้น เมื่อมีลูกค้ามาพิมพ์หาด้วยคีย์เวิร์ดนั้น ๆ

ซึ่งจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ทั้งด้านยอดขายและจำนวนของลูกค้า ทั้งแบบประจำและลูกค้าใหม่ได้ ทั้งนี้ วิธีที่จะวัดการเปลี่ยนแปลงของเว็บไซต์หลังการทำ SEO ที่ชัดเจนได้อีก คือ การเช็คผ่านระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งเราได้รวบรวมวิธีการเช็คมาฝากกัน ดังนี้

1. เช็คใน Google Chrome

โดยการใช้ระบบ Incognito Mode หรือการไม่ระบุตัวตน แทนการหาจากหน้าจอ Google Search แบบปกติทั่วไป เพราะจะทำให้ได้ข้อมูลที่แม่นยำกว่า วิธีการ คือ การเปิด Google Chrome แล้วกดปุ่ม Shift และ Ctrl พร้อมกับ N แล้วจะเกิดหน้าต่างใหม่ขึ้นมา หลังจากนั้นให้ใส่ Keyword ลงไปในช่องการสืบค้น

ผลที่ได้ คือ รายชื่อเว็บไซต์ SEO ที่ใช้ Keyword นั้น จำนวน 20 อันดับต้น วิธีนี้มีข้อจำกัด คือ หากเป็นเว็บไซต์ใหม่ที่เพิ่งสะสมข้อมูลในระบบ SEO จำเป็นต้องใช้ระยะเวลา 3-6 เดือนขึ้นไป กว่าจะมีอันดับ SEO ที่ดีขึ้น (หากเว็บไซต์ของคุณมีอันดับต่ำกว่า 20 ก็จะไม่แสดงผลในหน้าจอทดสอบนี้)

2. เช็คผ่านเว็บไซต์ของต่างประเทศ

เว็บไซต์ Serplab.Co.Uk เป็นแหล่งเช็คอันดับ SEO ที่ใช้งานง่ายและให้ความสะดวกสูง สามารถเช็ค Keyword ได้พร้อมกันถึง 5 คำ โดยกรอก URL Address ของเว็บไซต์คุณ พร้อมกับใส่ Keyword ทั้ง 5 ลงไปในช่องว่าง ระบบจะวิเคราะห์และแสดงผลออกมาให้ในทันที โดยจะทำให้ทราบว่าแต่ละคีย์เวิร์ดนั้น ผล SEO ของเว็บไซต์คุณถูกแสดงผลเป็นอันดับที่เท่าใดบ้าง

3. เช็คผ่าน Application ชื่อว่า SEO SERP

SEO SERP เป็นโปรแกรมที่สามารถดาวน์โหลดมาใช้ได้อย่างสะดวก เพียงใส่ Keyword ที่คุณใช้ในเว็บไซต์ลงในช่องค้นหาลำดับ SEO ผลก็แสดงเป็นตัวเลขของแต่ละคีย์เวิร์ดออกมาได้พร้อมกันเป็น 10 คำ โดยใช้เวลาน้อย นับว่าเป็นเทคนิคที่สะดวกมากทีเดียว

4. ใช้โปรแกรม Google Search Console

Google Search Console เป็นโปรแกรมที่ Google ให้บริการฟรี เพียงต้องตั้งค่าการเชื่อมโยงกับ WordPress ซึ่งเป็นโปรแกรมตรวจสอบคุณภาพของแต่ละเว็บไซต์ที่ลงทะเบียนไว้ โดยค่าที่วิเคราะห์ได้ จะมีความละเอียดสูง ทั้งแสดงจำนวนการคลิก ค่า CTR (Click Through Rate) ระดับ SEO ของแต่ละ Keyword เพื่อให้ผู้เป็นเจ้าของเว็บไซต์นำข้อมูลไปปรับปรุงพัฒนาเว็บไซต์ได้ดียิ่งขึ้นต่อไปวิธีที่จะวัดการเปลี่ยนแปลงของเว็บไซต์

จะเห็นได้ว่า การทำ SEO สามารถที่จะวัดผลการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นได้ จากหลายช่องทาง ซึ่งผู้ประกอบการที่สนใจทำเว็บไซต์ออนไลน์ควรศึกษาไว้ควบคู่กับการทำ SEO อย่างต่อเนื่อง เพื่อนำผลที่ได้ไปวิเคราะห์และพัฒนาปรับปรุงคุณภาพในการทำ SEO ให้เห็นผลดีทางธุรกิจยิ่งขึ้นไปในระยะยาว

การทำ SEO ดีไหม เสียค่าใช้จ่ายอย่างไร มือใหม่ค้าขายออนไลน์ต้องอ่าน

การทำ SEO หรือ Search Engine Optimization เป็นสิ่งที่กูรูผู้เชี่ยวชาญทางการตลาดแนะนำและกล่าวถึงอย่างมาก ว่าสามารถช่วยให้เว็บไซต์ทางธุรกิจทุกประเภทเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้มากขึ้น ทำให้เพิ่มยอดขายและสร้างชื่อเสียงของแบรนด์ได้อย่างรวดเร็ว ทั้งนี้ นักธุรกิจออนไลน์ยุคใหม่จำนวนไม่น้อย ยังข้องใจว่า การทำ SEO จะมีค่าใช้จ่ายอย่างไรและเหมาะสมกับธุรกิจของตัวเองหรือไม่ หากอ่านบทความนี้จบแล้ว คุณจะได้คำตอบอย่างแน่นอน

การทำ SEO เป็นเทคนิคการตลาดที่มีจุดเด่น คือ ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายให้แก่ Search Engine อย่าง Google, Bing และ Yahoo แต่อย่างใด เนื่องจากเป็นการพัฒนาคุณภาพของเว็บไซต์ ซึ่งมีอยู่ 2 ส่วนที่สำคัญ คือ

1. On-Page SEO

หากอยากให้เว็บไซต์ของคุณเป็นที่จดจำและได้รับการสั่งซื้อซ้ำจากลูกค้าบ่อย ๆ ต้องพัฒนาในส่วนนี้ให้มาก เริ่มจากการเลือก Keyword SEO ที่ดี เช่น ผู้ทำเว็บไซต์ให้บริการรับดูแลสุนัขและแมว ควรใช้ Keyword ในการสร้างบทความว่า “รับดูแล สุนัข แมว กรุงเทพ” เป็นต้น เพื่อให้สอดคล้องกับคำที่กลุ่มเป้าหมายใช้ค้นหาร้านที่ต้องการ

นอกจากนี้ การออกแบบเว็บไซต์ให้ใช้งานง่ายทั้งบนคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะและมือถือ จะช่วยให้เข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคมากขึ้น การคิดโลโก้และรูปแบบฟอนต์ตัวอักษรที่สื่อถึงแบรนด์ เช่น หากทำเว็บไซต์เพื่อประชาสัมพันธ์โรงแรมที่พัก ก็ควรใช้สีน้ำเงิน สีน้ำตาลและตัวอักษรกึ่งทางการเพื่อให้ดูน่าเชื่อถือ

การหมั่นเพิ่มเติมบทความที่ให้คุณค่า และพัฒนาเว็บไซต์ของคุณอย่างสม่ำเสมอ จะทำให้มีข้อมูลในระบบคอมพิวเตอร์มากพอที่ระบบ Algorithm หรือ AI อัจฉริยะของ Search Engine จะวิเคราะห์ว่าเป็นเว็บไซต์คุณภาพดี ที่จะนำเสนอเป็นอันดับต้น ๆ ในหน้าต่างการสืบค้นต่อไป

2. Off-Page SEO

เป็นการเชื่อมโยงลิงก์ของเว็บไซต์คุณเข้ากับเว็บไซต์ภายนอก เพื่อให้มีการขยายฐานลูกค้า โดยมากขึ้น โดยเน้นที่ความจริงใจเป็นมิตรมากที่สุด โดยวิธีที่นิยม คือ การเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายในห้องแชททาง Social ต่าง ๆ เช่น คุณเปิดเว็บไซต์ขายสินค้าออร์แกนิกไร้สารเคมี คุณก็ควรจะอยู่ในกลุ่มโซเชียลของผู้รักสุขภาพ เพื่อมีการพูดคุยเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ หากมีผู้ใดสนใจสินค้าออแกนิกคุณก็สามารถที่จะให้ข้อมูลและลิงก์เพจหรือเว็บไซต์ของคุณได้ อันจะนำไปสู่การส่งเสริมการขายในที่สุด เทคนิคนี้จะทำให้แบรนด์คุณเป็นที่รู้จักและก็มียอดการสั่งซื้อสินค้ามากขึ้นตามมานั่นเอง

จะเห็นได้ว่า การทำ SEO นั้น ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในส่วนใดเลย ซึ่งคุณสามารถเริ่มทำ SEO กับเว็บไซต์ของคุณได้ตั้งแต่วันนี้ เนื่องจากต้องใช้ระยะเวลาในการสะสมข้อมูล ประมาณ 3 เดือนถึง 6 เดือนขึ้นไป ซึ่งบรรดากูรูการตลาดต่างการันตีว่า ความสม่ำเสมอในการทำ SEO จะทำให้ธุรกิจของคุณเติบโตได้อย่างยั่งยืนในโลกออนไลน์แน่นอน

การทำ SEO เป็นเทคนิคการตลาดที่มีจุดเด่น

เหตุผลที่ธุรกิจออนไลน์ยุค 2019 ต้องทำ SEO

การทำเว็บไซต์เพื่อขายสินค้าออนไลน์ ในยุค 2019 ไม่ว่าจะเป็นสินค้าประเภทเครื่องสำอาง เสื้อผ้า ของใช้ในครัวเรือน ตลอดจนธุรกิจการท่องเที่ยว โรงแรม ฯลฯ ต่างจำเป็นจะต้องพัฒนาเว็บไซต์ให้สอดคล้องตามหลักการ SEO เพื่อให้เพิ่มอำนาจในการแข่งขันเทียบเคียงกับคู่แข่งรายอื่น

เนื่องจากการทำ SEO หรือ Search Engine Optimization เป็นโอกาสที่ทำให้เว็บไซต์ของคุณถูกสืบค้นได้ง่ายจาก Bing, Yahoo และ Google โดยที่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย เพียงอาศัยการพัฒนาปรับปรุงคุณภาพของเว็บไซต์ในด้านต่าง ๆ ต่อไปนี้ อย่างสม่ำเสมอ

1. On-Page SEO เป็นการปรับในส่วนของโครงสร้างเว็บไซต์ในด้านต่าง ๆ เช่น

– ออกแบบโครงสร้างให้ใช้งานง่าย มีการจัดสินค้าเป็นหมวดหมู่ชัดเจน เช่น หากขายเสื้อผ้าออนไลน์ ควรทำเป็นหมวดเสื้อ กางเกง เครื่องประดับ และมีช่องทางในการติดต่อที่เห็นชัดเจน รวมถึงแยกพื้นที่โฆษณาไว้ที่มุมด้านใดด้านเดียว จะทำให้มีความเป็นระเบียบและใช้งานได้ง่ายยิ่งขึ้น

– ผลิตเนื้อหา Content ที่มีประโยชน์ให้สาระกับผู้อ่าน โดยไม่มีการคัดลอกมาจากแหล่งข้อมูลอื่น เพื่อให้ผู้อ่านใช้เวลาอยู่ในหน้าจอเว็บเพจของคุณมากยิ่งขึ้น และกลับมาใช้บริการซ้ำอีก จะทำให้อันดับ SEO ในการสืบค้นจาก Bing, Google และ Yahoo มากขึ้นตามไปด้วย

– การทำคลิปวีดีโอหรือเลือกรูปภาพประกอบ ต้องมีความดึงดูดใจและมีความคิดสร้างสรรค์ พร้อมทั้งส่งเสริมการขายสินค้าได้ดี ตัวอย่างเช่น หากคุณขายเครื่องฟอกอากาศ ก็ควรทำคลิปสอนสาธิตวิธีการใช้ และบอกได้ว่าแตกต่างจากเครื่องแบรนด์อื่นอย่างไร

2. Off-Page SEO เป็นการทำลิงค์เชื่อมโยงเว็บไซต์ของคุณกับเว็บไซต์ภายนอก

โดยใช้เทคนิคที่แสดงความจริงใจ เช่น การให้สาระความรู้ตอบคำถามแก่ผู้ที่มีปัญหาในการใช้สินค้าประเภทเดียวกันกับที่คุณจำหน่ายอยู่ เพราะคุณเป็นผู้ที่มีข้อมูลในเชิงลึกมากกว่าบุคคลทั่วไป ซึ่งจะทำให้เว็บไซต์ของคุณมีความน่าเชื่อถือและเป็นการส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ดี ทำให้มีคนสนใจเข้ามาสอบถามข้อมูลสินค้าผ่านลิงก์ที่คุณแปะไว้ และทำให้เพิ่มยอดจำหน่ายจากลูกค้าฐานกว้างยิ่งขึ้นในระยะยาว

ทั้งนี้ ระบบ Algorithm ของ Search Engine จะใช้เวลาในการสะสมข้อมูลเพื่อวิเคราะห์ก่อนจัดลำดับเว็บไซต์ในหน้าจอแสดงผล จึงต้องใช้ระยะเวลาในการเห็นผลลัพธ์ 6 เดือนถึง 1 ปีขึ้นไป หลังการเริ่มทำ SEO โดยขึ้นกับประเภทของธุรกิจ หากมีการแข่งขันกันสูงก็อาจใช้เวลานานมากขึ้น

จะเห็นได้ว่า การทำ SEO เป็นแนวทางที่สำคัญในการทำให้คุณพัฒนาเว็บไซต์อย่างมีเป้าหมายและตรงใจกลุ่มลูกค้า เพื่อการขายสินค้าและบริการได้มากยิ่งขึ้นในระยะยาว ซึ่งผู้เชี่ยวชาญทางการตลาดและการขายสินค้าออนไลน์ แนะนำว่า SEO เป็นเทคนิคที่ให้ผลลัพธ์คุ้มค่าทั้งด้านยอดขายและจำนวนลูกค้า ในปี 2019 ที่ทุกธุรกิจควรให้ความใส่ใจ

หลักการ SEO เพื่อให้เพิ่มอำนาจในการแข่งขัน

สิ่งที่ควรวางแผนก่อนจ้างทำ SEO

การทำเว็บไซต์ที่ดีให้มีการติดตลาดจำเป็นจะต้องเตรียมฐานข้อมูลรวมถึงความรู้ในการทำคอนเทนต์ การทำหน้าที่ของระบบเว็บไซต์เพื่อให้เครื่องมือค้นหา หรือ Search engine จัดอันดับให้ติดหน้าแรก ต้องยอมรับว่าการทำ SEO นั้นสำคัญและจำเป็นอย่างมาก

สิ่งที่สำคัญตามมานั่นก็คือ ค่าใช้จ่ายของ การทำ SEO นั้นจะต้องมีค่าใช้จ่ายเพื่อให้เป็นเว็บไซต์ที่ได้มาตรฐาน มีการพัฒนาเรื่องประสบการณ์ผู้ใช้ และสามารถติดอันดับบน ๆ ของหน้าค้นหา ให้ผู้ใช้มองเห็นก่อนบนหน้าแรกของผลการค้นหา ซึ่งสำคัญเป็นอย่างมากในการตลาดที่จะเป็นที่ได้มาของกลุ่มลูกค้าและการขาย โดยมี สิ่งที่ควรวางแผนก่อนจ้างทำ SEO ดังนี้

ตั้งงบประมาณในการทำ SEO

การตั้งงบประมาณนั้นสำคัญมากในการทำ SEO เพื่อประเมินผลตอบรับและดูความเสี่ยงว่าสามารถรับได้หรือไม่ ที่สำคัญคือ ดูความเหมาะสมของธุรกิจ และกลุ่มลูกค้าที่จะตามมาว่าสามารถจ่ายได้โดยหากเป็นธุรกิจขนาดใหญ่ การทุ่มทุนก็เป็นเรื่องง่าย แต่หากเป็นบริษัทขนาดเล็กหรือเพิ่งเปิดตัวก็ควรศึกษาให้ดี ทั้งนี้มีทั้งจ่ายแบบรายหกเดือนและรายปี งบประมาณเริ่มต้นในการทำ SEO อยู่ที่ 30,000 บาท ในระยะเวลา 6 เดือนซึ่งบริษัทที่มีบริการที่ดีจะมีการติดตามผลตลอด 1 ปี สำหรับรายเดือนเริ่มต้นที่ 3,000 บาทต่อเดือน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับลักษณะของคีย์เวิร์ดที่ต้องการติดอันดับ

หาข้อมูลสำหรับบริษัทที่รับทำ SEO

หาข้อมูลของบริษัทที่รับทำ SEO โดยเฉพาะโดยต้องค้นหาข้อมูลของบริษัทผลงานบริการในการทำรีวิวจากลูกค้า ดูผลตอบรับที่ได้หลังจากรับบริการว่าเป็นอย่างไร และผลจากการทำนั้นได้ผลหรือไม่ มีความเป็นมืออาชีพและเมื่อทำแล้วเว็บไซต์จะได้รับการพัฒนาหรือไม่

หากเป็นฟรีแลนซ์ที่รับทำ SEO ควรศึกษาให้ดี

เนื่องจากฟรีแลนซ์อาจขาดความเป็นมืออาชีพ และมีการบริการที่แตกต่างจากการให้บริการแบบบริษัทที่รับทำ SEO โดยตรง ดังนั้นจำเป็นจะต้องศึกษาให้ดีทั้งในเรื่องของราคาและการให้บริการ ทั้งนี้ฟรีแลนซ์ที่มีฝีมือดีก็มีมากและอาจเทียบเท่ากับบริษัทผู้ทำเว็บไซต์จึงต้องศึกษาให้ดี ซึ่งสามารถดูได้จากผลงาน

เมื่อ SEO ติดอันดับแล้วควรทำต่อเนื่องหรือไม่

ในกรณีที่เว็บไซต์มีการทำ SEO ได้ติดอันดับการค้นหาแล้วก็อาจมีบางส่วนที่ติดอันดับได้ไม่เปลี่ยนแปลงแม้จะหยุดทำไประยะหนึ่ง แต่อย่างไรก็ต้องพัฒนาต่อเนื่อง หากอยู่ในภาคธุรกิจที่ต้องมีการแข่งขันสูงก็จำเป็นที่จะต้องทำต่อเนื่องต่อไป

การทำ SEO ด้วยตัวเองแบบประหยัดงบประมาณ

การทำ SEO ขึ้นมาเองนั่นคือ การที่เราจะต้องมีการศึกษาการทำคอนเทนต์และค้นหาข้อมูลเป็นอย่างดี โดยการที่เราจะต้องกำหนดคีย์เวิร์ดขึ้นมาแล้วค้นหาว่าเป็นที่นิยมหรือไม่ จากนั้นเขียนบทความแล้วใส่คีย์เวิร์ดที่ต้องการ จากนั้นสังเกตผลตอบรับแล้วค่อย ๆ เรียนรู้ปรับเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ

การทำ SEO มีทั้งแบบรายเดือนที่เริ่มต้นที่เดือนละ 3,000 บาท รายหกเดือนเริ่มต้นที่ 30,000 บาท ขึ้นกับคีย์เวิร์ดที่จะทำ หากบริการได้ผลดีจะมีการดูผลตอบรับตลอดเวลาหนึ่งปี จากนั้นให้พัฒนาการเขียนคอนเทนต์ให้มีคุณภาพมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ตั้งงบประมาณในการทำ SEO

SEO คืออะไร ทำให้แบรนด์ติดตลาดได้อย่างไร

เจ้าของธุรกิจที่ยังเป็นมือใหม่ในด้านการออกแบบเว็บไซต์อาจยังไม่เข้าใจความหมายของ SEO ว่าคืออะไรและมีประโยชน์อย่างไร โดยปกติการออกแบบเว็บไซต์เป็นช่องทางการตลาดออนไลน์ที่มีบทบาทอย่างมาก เปิดโอกาสให้ธุรกิจและแบรนด์เป็นที่รู้จักแพร่หลาย แต่ธุรกิจเดียวกันมีคู่แข่งมากมาย การทำ SEO หรือ Search Engine Optimization ช่วยให้ผู้คนที่ค้นหาข้อมูลทางอินเทอร์เน็ตพบเห็นเว็บของเราบน Google ก่อนคู่แข่ง การทำ SEO มีหลายวิธีที่จะดันเว็บไซต์ให้ติดหน้าแรกของเครื่องมือค้นหา ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบเว็บให้น่าสนใจและจัดโครงสร้างหน้าเว็บให้ค้นหาสิ่งที่ต้องการได้ง่าย การเขียนบทความอธิบายเกี่ยวกับธุรกิจ สินค้าและบริการที่เข้าใจง่าย การใส่คีย์เวิร์ดลงในบทความเพื่อให้ค้นหาทางออนไลน์ง่ายขึ้น ตลอดจนการสร้างลิงก์รูปแบบต่าง ๆ เพื่อเพิ่มจำนวนผู้ชมและทำให้เว็บเลื่อนอันดับสูงขึ้น

การทำ SEO จำเป็นแค่ไหน

อธิบายความหมายคร่าวๆแล้ว หลายคนคงอยากรู้ว่าการทำ SEO เป็นเรื่องจำเป็นขนาดไหน หากเปรียบเทียบกับสมัยก่อน หลายแบรนด์อัดฉีดงบประมาณโฆษณาให้สินค้าและบริการเป็นที่รู้จักแพร่หลาย แต่การทำ SEO ช่วยให้ลูกค้าเป้าหมายคนเจอเว็บไซต์ง่ายใช้งบประมาณน้อยกว่ามาก ลูกค้ารู้จักแบรนด์มากเท่าไรก็มีโอกาสขายได้มากขึ้นเท่านั้น เพราะคนจำนวนมากเห็นเว็บไซต์จากหน้าแรก ๆ ของ Google มักจะคลิกเข้ามาเยี่ยมชมและอ่านเนื้อหาทันที หากการทำ SEO มีคุณภาพดี นำเสนอบทความแนะนำให้ลูกค้ารู้จักแบรนด์และกระตุ้นความสนใจในสินค้าและบริการ จะเกิดความได้เปรียบตรงที่มีโอกาสขายได้ก่อนเว็บคู่แข่ง

ในเมื่อธุรกิจยังใหม่ในตลาด กลุ่มลูกค้าเป้าหมายยังไม่รู้จักแบรนด์ของเรา การเขียนบทความทำ SEO ช่วยให้ลูกค้าค้นพบแบรนด์จากการใส่คีย์เวิร์ดค้นหาลงใน Google โดยใช้คำหลัก เช่น ร้านอาหารญี่ปุ่นในซอยทองหล่อ สุขุมวิท ซึ่งจะจัดรวมร้านอาหารญี่ปุ่นขึ้นชื่อย่านทองหล่อเรียงตามลำดับ การเขียนบทความแนะนำร้านอาหารและใส่คีย์เวิร์ดสำคัญลงไปทำให้กลุ่มเป้าหมายรู้จักบริการและเว็บไซต์ของเรา ผสมผสานกับวิธีการสร้างลิงก์กับเว็บไซต์อื่น ๆ ให้คลิกกลับมาที่เว็บของเรา หากลูกค้าเป้าหมายสนใจคลิกเข้าค้นหาข้อมูลเพิ่มเติม การเพิ่มอัตราผู้ชมจำนวนมากส่งผลให้เว็บขึ้นไปอยู่ในลำดับแรก ๆ ของเครื่องมือค้นหา มีโอกาสที่ลูกค้าจะเกิดความพอใจเลือกร้านของเราเป็นอันดับแรก

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการทำ SEO ทำให้เว็บไซต์น่าสนใจและเพิ่มโอกาสขายมากขึ้น ส่วนสำคัญที่ขาดไม่ได้คือบทความที่สดใหม่และอัปเดตเป็นประจำ ทำให้เกิดการติดตามเข้ามาอ่านคอนเทนต์ในเว็บไซต์อย่างสม่ำเสมอ การเพิ่มปริมาณผู้เข้าชมเป็นอีกทางที่จะส่งเสริมความน่าเชื่อถือและสร้างชื่อเสียงของแบรนด์ให้ได้รับความนิยม เทคนิคการสร้างลิงก์เชื่อมโยงเว็บไซต์กับโซเชียลมีเดียเป็นประโยชน์ในแง่ของการแชร์บทความดี ๆ น่าอ่านและบอกต่อแบรนด์สินค้าหรือบริการให้เป็นที่รู้จักในวงกว้าง เนื่องจากโซเชียลมีเดียเป็นสื่อยอดนิยมที่มีการกระจายข่าวได้ง่ายและรวดเร็ว การเชื่อมโยงกันยิ่งเกิดผลบวกกระตุ้นให้มีจำนวนผู้ติดตามเพิ่มขึ้น เครื่องมือค้นหาจะจัดอันดับเว็บไซด์สูงขึ้นและเพิ่มโอกาสขายส่งเสริมให้ธุรกิจเติบโตต่อไปเรื่อย ๆ

การทำ SEO จำเป็นแค่ไหน

ทำไมการทำบทความ SEO จึงสำคัญ

การทำบทความ SEO เป็นส่วนหนึ่งของการทำการตลาดออนไลน์ที่เรียกว่า Search Engine Optimization ซึ่งจำเป็นมากสำหรับร้านค้าออนไลน์ เพราะเป็นส่วนที่ระบบคอมพิวเตอร์อัจฉริยะหรือ AI ใน Search Engine อย่าง Yahoo และ Google ใช้ในการจัดอันดับของเว็บไซต์ เมื่อมีการสืบค้นด้วย Keyword จากกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ก็จะแสดงออกมาตามลำดับคุณภาพของบทความ

ในปัจจุบัน จึงมีบริษัทรับจ้างทำบทความ SEO จำนวนมาก ที่มีแพ็คเกจแบบรายเดือนรายปี เพื่อที่จะมีการเขียนบทความนำเสนอบนเว็บไซต์ได้เป็นประจำทุกวัน

ทั้งนี้ การทำบทความ SEO ที่มีคุณภาพจะต้องประกอบไปด้วยส่วนต่าง ๆ ดังนี้

1. การใส่ keyword ที่ได้มาจากการวิเคราะห์ด้วย Yahoo Search หรือ Google Search ที่ตรงกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของธุรกิจนั้น ตัวอย่างเช่น ร้านขายดอกไม้ออนไลน์ก็ควรจะใช้ keyword ที่เกี่ยวข้องกับการจัดช่อดอกไม้แบบต่าง ๆ ความหมายของดอกไม้แต่ละชนิดในช่อ ฯลฯ ซึ่งจะทำให้ผู้ที่กำลังต้องการสั่งดอกไม้ให้เพื่อนวันรับปริญญา ได้เข้ามาอ่านบทความและสั่งดอกไม้จากทางเว็บไซต์ในอนาคต

2. มีรูปประกอบที่สวยงามอย่างน้อย 2-3 รูป เพื่อที่จะดึงดูดความสนใจจากกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย โดยต้องเป็นรูปที่ไม่ติดลิขสิทธิ์ หรือนำมาใช้โดยที่ไม่ได้รับอนุญาตเพราะว่าจะมีการตรวจจับด้วยระบบ AI ของ search engine ที่ทำให้ถูกลดอันดับความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์ลง

3. การตั้งชื่อของบทความ (Title) และส่วน Meta Description ซึ่งจะเป็นเหมือนการสรุปย่อของเนื้อหาในเว็บไซต์ ควรจะต้องมี Keyword ที่ตรงกับบทความอยู่ในสองส่วนนี้ และควรให้มีความยาวของที่เหมาะสม ซึ่งถ้ามีการใช้โปรแกรม Word Press และ Plugin YOAST SEO เข้าไปช่วยในการวิเคราะห์ ก็จะสามารถออกแบบในส่วนนี้ได้ดียิ่งขึ้น เพราะจะมีการแสดงคุณภาพออกมาเป็นไฟสีแดง เหลือง เขียว ที่บ่งบอกว่าคุณภาพของบทความ หัวข้อ ฯลฯ อยู่ในขั้นใดบ้าง (สีแดงคือไม่ผ่าน สีเหลืองคือพอใช้ สีเขียวคือผ่าน)

4. การเขียนบทความ ต้องให้มีความยาวเหมาะสมกับกลุ่มผู้อ่านเป้าหมาย เช่น บทความสำหรับการโพสต์ใน Facebook ก็ควรยาว 200-300 คำ ถ้าเป็นการโพสต์ในเว็บไซต์ให้ความรู้แบบวิชาการ ก็จะมีความยาวอยู่ที่ประมาณ 1000 ถึง 2000 คำ เป็นต้น

5. การเพิ่มลิงค์ ด้วยการมีแหล่งเนื้อหาที่เป็นต่างประเทศ เพื่อความน่าเชื่อถือของบทความจะเพิ่มผลในการจัดอันดับที่ดีขึ้นได้ โดยเฉพาะเว็บไซต์แนวให้ความรู้ด้านสุขภาพ อาหารเสริม วิตามิน หรือแนวการลงทุน ที่ต้องมีการแสดงความเห็นของผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ฯลฯ

จะเห็นได้ว่า การทำบทความ SEO ที่มีคุณภาพมีความสำคัญต่อการสร้างความน่าเชื่อถือให้แก่เว็บไซต์ ทำให้มีผลการจัดอันดับของ Search Engine ที่ดีขึ้น และเพิ่มลูกค้าในระยะยาวได้

การใส่ keyword ที่ได้มาจากการวิเคราะห์

เทคนิคการตลาดออนไลน์ SEO ที่คนรุ่นใหม่ควรรู้จัก

ปัจจุบันการซื้อขายสินค้าออนไลน์เป็นที่นิยมอย่างมาก เนื่องจากความก้าวหน้าของเทคโนโลยีการสื่อสารและความรวดเร็วของระบบเครือข่าย 5G ทำให้ผู้ซื้อและผู้ขายจากทั่วโลกสามารถติดต่อเชื่อมโยงกันได้ การทำ SEO หรือ Search Engine Optimization จึงเป็นเทคนิคการตลาดออนไลน์ที่ควรให้ความสำคัญเพราะเป็นโอกาสที่จะทำให้ เว็บไซต์ของคุณถูกจะค้นพบได้ง่าย เท่ากับเพิ่มโอกาสในการแข่งขันกับสินค้าแบรนด์อื่นนั่นเอง

การทำ SEO เป็นสิ่งที่สำคัญอย่างมากเนื่องจากระบบการสืบค้นของ Yahoo และ Google จะวัดจากคุณภาพของเว็บไซต์ที่มีการพัฒนาและอัพเดทข้อมูลอย่างสม่ำเสมอโดยลำดับการแสดงผลในหน้าต่างสืบค้นจากอันดับ SEO ซึ่งคุณสามารถทำเว็บไซต์ SEO ได้ด้วยเทคนิคต่อไปนี้

1.การใช้ keyword ที่เหมาะสมกับความต้องการของลูกค้า และไม่ใส่ keyword ซ้ำเกิน 2-3 ครั้งในแต่ละบทความบนเพจ เพราะระบบ AI จะประเมินว่าเป็นบทความคุณภาพต่ำ ที่สำคัญคือ เนื้อหาต้องไม่มีการคัดลอกจากที่ใดเพราะจะกลายเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์และถูกประเมินเรื่องการนำข้อมูลของผู้อื่นมาดัดแปลง (Plagiarism) ได้เปอร์เซ็นต์ต่ำจนทำให้กระทบต่อการจัดอันดับเว็บไซต์หรือถูกแจ้งเตือนจากระบบได้

2.การทำโครงสร้างของเว็บไซต์ให้สวยงามอ่านง่าย เป็นระเบียบ มีธีมของสีและฟอนต์ตัวอักษรที่จดจำง่ายเป็นเอกลักษณ์

3.การสร้างเว็บไซต์ให้ใช้งานง่ายทั้งกับระบบโทรศัพท์มือถือและระบบคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ จะทำให้สินค้าของคุณขายได้ง่ายยิ่งขึ้นเนื่องจากคนส่วนใหญ่เกิน 80 % นิยมใช้โทรศัพท์มือถือ เพื่อสืบค้นข้อมูลหรือสั่งซื้อสินค้าออนไลน์มากกว่าการใช้คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ

4.การพัฒนาเนื้อหาบทความ หรือที่เรียกว่า Content ที่นอกจากจะใส่ keyword แบบคำสั้น ๆ แล้วควรจะใส่เป็น Long Tail Keyword ด้วย เช่น ร้านของคุณเป็นร้านขายดอกไม้ออนไลน์ ก็ควรจะใช้ keyword แบบยาว ว่า “ร้านขายดอกไม้ออนไลน์ ราคาถูก” “ขายดอกไม้ออนไลน์ รับปริญญา” “ขายดอกไม้ออนไลน์ กรุงเทพ” เป็นต้น จะทำให้มีเปอร์เซ็นต์ความสำเร็จในการขายสินค้าและบริการมากยิ่งขึ้น

การทำ SEO เป็นสิ่งที่สำคัญอย่างมาก

5.การทำสื่อสนับสนุนการขาย เช่น รูปภาพและคลิปประกอบสินค้า ควรมีความน่าสนใจและให้ความสำคัญกับการตั้งชื่อ เช่น คุณทำร้านขายเครื่องปั่นน้ำผลไม้ ก็ควรจะทำคลิปสาธิตวิธีการใช้เครื่องที่เป็นเอกลักษณ์ และตั้งชื่อคลิปโดยใช้ keyword ที่จะทำให้ลูกค้าสืบค้นได้ง่ายด้วย

6.การแนะนำเว็บไซต์ของคุณโดย post link ในเว็บบอร์ดต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องและไม่ใช่การสแปม ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งของ SEO ที่นิยมกัน

จะเห็นได้ว่า การทำการตลาดออนไลน์ SEO มีเทคนิคอยู่หลายอย่าง ไม่มีกฎตายตัวว่าสินค้าหนึ่ง ๆ จะต้องทำแบบเดียวกันจึงจะประสบความสำเร็จ หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้ท่านที่กำลังสนใจทำเว็บไซต์ขายสินค้าออนไลน์ ได้นำไปเป็นแนวทางในการสร้างความสำเร็จให้แก่เว็บไซต์ เพื่อให้เข้าถึงลูกค้ากลุ่มเป้าหมายได้ดียิ่งขึ้น