ป้ายกำกับ: การทำ SEO

เทรนด์ SEO ปี 2024 ก้าวนำหน้าคู่แข่ง

โลกของ SEO มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และปี 2024 ก็ไม่มีข้อยกเว้น เพื่อก้าวนำหน้าคู่แข่ง จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเข้าใจแนวโน้มหลักและปรับกลยุทธ์ของคุณให้สอดคล้องกัน ต่อไปนี้เป็นพื้นที่ที่ใหญ่ที่สุดบางส่วนที่ควรมุ่งเน้น:

  1. เนื้อหาที่เน้นผู้ใช้เป็นหลัก: Google จัดลำดับความสำคัญของเว็บไซต์ที่นำเสนอเนื้อหาที่เป็นประโยชน์ เชื่อถือได้ และให้ความสำคัญกับผู้คนเป็นอันดับแรก นี่หมายถึงการสร้างเนื้อหาคุณภาพสูงที่ตอบสนองความต้องการและคำถามของกลุ่มเป้าหมายของคุณ ไม่ใช่แค่เติมคีย์เวิร์ดเท่านั้น มุ่งเน้นที่จุดประสงค์ของผู้ใช้ การให้ข้อมูลอันมีคุณค่า และสร้างความมั่นใจว่าเนื้อหาของคุณน่าเชื่อถือและถูกต้อง
  2. การเพิ่มประสิทธิภาพบนมือถือเป็นอันดับแรก: เนื่องจากการค้นหาส่วนใหญ่เกิดขึ้นบนอุปกรณ์เคลื่อนที่ การมีเว็บไซต์ที่เหมาะกับมือถือจึงไม่ใช่ทางเลือกอีกต่อไป แต่ถือเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งรวมถึงความเร็วในการโหลดที่รวดเร็ว การออกแบบที่ตอบสนองและการนำทางที่ง่ายดายบนอุปกรณ์ทั้งหมด
  3. การเพิ่มประสิทธิภาพการค้นหาด้วยเสียง: เนื่องจากผู้ช่วยด้านเสียงอย่าง Siri และ Alexa ได้รับความนิยมมากขึ้น การเพิ่มประสิทธิภาพเนื้อหาสำหรับการค้นหาด้วยเสียงจึงมีความสำคัญมากขึ้น ใช้คำหลักหางยาว ภาษาที่เป็นธรรมชาติ และวลีที่เป็นคำถามเพื่อปรับปรุงการมองเห็นของคุณในผลการค้นหาด้วยเสียง
  4. เนื้อหาวิดีโอ: วิดีโอเป็นเครื่องมือการมีส่วนร่วมที่ทรงพลัง และการรวมเนื้อหาวิดีโอเข้ากับกลยุทธ์ SEO ของคุณจะมีประโยชน์อย่างมาก เพิ่มประสิทธิภาพวิดีโอของคุณด้วยชื่อ คำอธิบาย และแท็กที่เกี่ยวข้อง และพิจารณาสร้างการถอดเสียงวิดีโอเพื่อปรับปรุงการเข้าถึง
  5. SEO ทางเทคนิค: แม้ว่าเนื้อหาจะเป็นสิ่งสำคัญ แต่ SEO ทางเทคนิคยังคงมีความสำคัญต่อรากฐานที่แข็งแกร่ง ตรวจสอบให้แน่ใจว่าเว็บไซต์ของคุณมีโครงสร้างที่สะอาด ความเร็วในการโหลดหน้าเว็บที่รวดเร็ว และการจัดทำดัชนีที่เหมาะสมโดยเครื่องมือค้นหา
  6. EAT (ความเชี่ยวชาญ ความน่าเชื่อถือ และความน่าเชื่อถือ): Google เน้นย้ำว่า EAT เป็นปัจจัยสำคัญในการจัดอันดับ สร้างความเชี่ยวชาญของคุณด้วยการแสดงความรู้และประสบการณ์ของคุณ สร้างอำนาจผ่านลิงก์ย้อนกลับที่เกี่ยวข้องและการยอมรับในอุตสาหกรรม ได้รับความไว้วางใจด้วยการให้ข้อมูลที่ถูกต้องและเชื่อถือได้
  7. SEO ท้องถิ่น: หากคุณมีธุรกิจในท้องถิ่น SEO ในท้องถิ่นมีความสำคัญอย่างยิ่งในการดึงดูดลูกค้าในบริเวณใกล้เคียง เพิ่มประสิทธิภาพรายชื่อ Google My Business ของคุณ สร้างการอ้างอิงในไดเรกทอรีท้องถิ่น และมีส่วนร่วมกับชุมชนท้องถิ่นของคุณทางออนไลน์
  8. ตัวอย่างข้อมูลแนะนำ: มุ่งหวังที่จะนำเนื้อหาของคุณไปไว้ในตัวอย่างข้อมูลแนะนำ ซึ่งปรากฏที่ด้านบนของผลการค้นหาสำหรับคำค้นหาเฉพาะ สิ่งนี้สามารถเพิ่มการเข้าชมเว็บไซต์ของคุณได้อย่างมาก
  9. เครื่องมือ SEO ที่ขับเคลื่อนด้วย AI: ใช้เครื่องมือที่ขับเคลื่อนด้วย AI เพื่อวิเคราะห์เว็บไซต์ของคุณ ติดตามคำหลัก และระบุโอกาสในการเพิ่มประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม โปรดจำไว้ว่าความเชี่ยวชาญของมนุษย์ยังคงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์
  10. รับทราบข้อมูลอยู่เสมอ: ภูมิทัศน์ SEO มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ดังนั้น โปรดติดตามแนวโน้มล่าสุดและการอัปเดตอัลกอริทึมโดยติดตามบล็อกของอุตสาหกรรม เข้าร่วมการประชุม และเชื่อมต่อกับผู้เชี่ยวชาญด้าน SEO อื่น ๆ

ด้วยการมุ่งเน้นไปที่แนวโน้มสำคัญเหล่านี้และปรับแนวทางให้เหมาะสม คุณสามารถกำหนดกลยุทธ์ SEO เพื่อความสำเร็จในปี 2024 และต่อๆ ไป โปรดจำไว้ว่า SEO เป็นเกมระยะยาว ดังนั้นคุณควรมุ่งเน้นที่การสร้างเนื้อหาที่มีคุณค่า มอบประสบการณ์ที่ดีแก่ผู้ใช้ และสร้างความไว้วางใจกับผู้ชมของคุณ

เทคนิคการทำ SEO ปี 2023

เทคนิค SEO มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องเมื่อเครื่องมือค้นหาอัปเดตอัลกอริธึม อย่างไรก็ตาม มีหลักการสำคัญบางประการที่ยังคงมีความสำคัญต่อความสำเร็จของ SEO ในปี 2023

ต่อไปนี้เป็นเทคนิค SEO ที่สำคัญที่สุดบางส่วนที่ควรมุ่งเน้นในปี 2023

1.การวิจัยคำหลัก ขั้นตอนแรกสู่แคมเปญ SEO ที่ประสบความสำเร็จคือการระบุคำหลักที่เหมาะสมเพื่อกำหนดเป้าหมาย สิ่งเหล่านี้ควรเป็นคำหลักที่กลุ่มเป้าหมายของคุณกำลังค้นหาและเกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณ

2.การสร้างเนื้อหา เมื่อคุณระบุคำหลักเป้าหมายแล้ว คุณจะต้องสร้างเนื้อหาคุณภาพสูงที่ปรับให้เหมาะสมสำหรับคำหลักเหล่านั้น เนื้อหาของคุณควรให้ข้อมูล มีส่วนร่วม และเกี่ยวข้องกับผู้ชมเป้าหมายของคุณ

3.การเพิ่มประสิทธิภาพในหน้า การเพิ่มประสิทธิภาพในหน้าหมายถึงกระบวนการเพิ่มประสิทธิภาพหน้าเว็บไซต์ของคุณสำหรับเครื่องมือค้นหา ซึ่งรวมถึงปัจจัยต่างๆ เช่น แท็กชื่อ คำอธิบายเมตา แท็กส่วนหัว การเพิ่มประสิทธิภาพรูปภาพ และการเชื่อมโยงภายใน

4.เทคนิค SEO เทคนิค SEO หมายถึงกระบวนการเพิ่มประสิทธิภาพโครงสร้างทางเทคนิคของเว็บไซต์ของคุณสำหรับเครื่องมือค้นหา ซึ่งรวมถึงปัจจัยต่างๆ เช่น ความเร็วเว็บไซต์ ความเหมาะกับมือถือ และแผนผังเว็บไซต์

5.การสร้างลิงก์ การสร้างลิงก์เป็นกระบวนการในการรับลิงก์ย้อนกลับจากเว็บไซต์อื่นมายังของคุณเอง ลิงก์ย้อนกลับเป็นหนึ่งในปัจจัยการจัดอันดับที่สำคัญที่สุดสำหรับเครื่องมือค้นหา

นอกจากหลักการ SEO หลักเหล่านี้แล้ว ยังมีเทคนิคใหม่บางประการที่กำลังได้รับความสำคัญในปี 2023

1.Semantic SEO Semantic SEO เป็น SEO ประเภทหนึ่งที่มุ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพเนื้อหาของคุณตามความหมายของคำค้นหา ไม่ใช่แค่การจับคู่แบบตรงทั้งหมด ซึ่งหมายความว่าการใช้คำหลักและวลีที่เกี่ยวข้องตลอดเนื้อหาของคุณเพื่อช่วยให้เครื่องมือค้นหาเข้าใจหัวข้อของหน้าเว็บของคุณ

2.ตัวอย่างข้อมูลแนะนำ ตัวอย่างข้อมูลแนะนำคือตัวอย่างข้อความสั้นๆ ที่ปรากฏที่ด้านบนของหน้าผลการค้นหาสำหรับคำค้นหาบางคำ การจัดอันดับตัวอย่างข้อมูลแนะนำอาจเป็นวิธีที่ดีในการเพิ่มการแสดงผลเว็บไซต์ของคุณในผลการค้นหา

3.การค้นหาด้วยเสียง การค้นหาด้วยเสียงกำลังได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้น การเพิ่มประสิทธิภาพเนื้อหาของคุณสำหรับข้อความค้นหาด้วยเสียงจึงเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งหมายถึงการใช้คำหลักหางยาวและภาษาสนทนาในเนื้อหาของคุณ

SEO เป็นกระบวนการที่กำลังดำเนินอยู่ และสิ่งสำคัญคือการติดตามแนวโน้มและเทคนิคล่าสุดเพื่อรักษาอันดับเครื่องมือค้นหาของคุณ การทำตามคำแนะนำข้างต้นจะทำให้คุณสามารถปรับปรุง SEO ของเว็บไซต์ของคุณและดึงดูดการเข้าชมที่เกิดขึ้นเองได้มากขึ้น

SEO คือไร มีประโยชน์อย่างไร

SEO ย่อมาจาก Search Engine Optimization เป็นกระบวนการปรับปรุงการแสดงผลของเว็บไซต์หรือหน้าเว็บในหน้าผลลัพธ์ของเครื่องมือค้นหา (SERPs) เป้าหมายของ SEO คือการทำให้เว็บไซต์มีอันดับที่สูงขึ้นสำหรับคำหลักที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ผู้คนเห็นมากขึ้น

SEO มีสองประเภทหลัก: SEO ในหน้าและ SEO นอกหน้า

On-page SEO คือกระบวนการเพิ่มประสิทธิภาพเนื้อหาและโค้ดของเว็บไซต์เพื่อให้เป็นมิตรกับเครื่องมือค้นหามากขึ้น ซึ่งรวมถึงสิ่งต่างๆ เช่น การใช้คำหลักที่เกี่ยวข้องทั่วทั้งเว็บไซต์ การสร้างเนื้อหาคุณภาพสูง และการปรับปรุงความเร็วในการโหลดเว็บไซต์

Off-page SEO คือกระบวนการสร้างลิงก์ไปยังเว็บไซต์จากเว็บไซต์อื่น ลิงก์เป็นสัญญาณบอกเครื่องมือค้นหาว่าเว็บไซต์มีความสำคัญและเกี่ยวข้อง ดังนั้นการสร้างลิงก์คุณภาพสูงสามารถช่วยปรับปรุงอันดับของเว็บไซต์ได้

SEO เป็นสาขาที่ซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา แต่เป็นส่วนสำคัญของกลยุทธ์การตลาดออนไลน์ใดๆ ด้วยการปฏิบัติตามแนวทางปฏิบัติ SEO ที่ดี ธุรกิจสามารถดึงดูดผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์ของตนได้มากขึ้นและปรับปรุงการแสดงผลทางออนไลน์

ประโยชน์บางประการของ SEO

1.เพิ่มการเข้าชมเว็บไซต์ SEO สามารถช่วยเพิ่มจำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์โดยการปรับปรุงอันดับในหน้าผลลัพธ์ของเครื่องมือค้นหา

การรับรู้ถึงแบรนด์ที่เพิ่มขึ้น: เมื่อเว็บไซต์มีอันดับสูงขึ้นในหน้าผลลัพธ์ของเครื่องมือค้นหา มีแนวโน้มที่ลูกค้าจะมองเห็นมากขึ้น สิ่งนี้สามารถนำไปสู่การเพิ่มการรับรู้ถึงแบรนด์และชื่อเสียงของแบรนด์

2.เพิ่มยอดขาย SEO สามารถช่วยเพิ่มยอดขายโดยเพิ่มการเข้าชมเว็บไซต์ เมื่อผู้มีโอกาสเป็นลูกค้าเยี่ยมชมเว็บไซต์ พวกเขามีแนวโน้มที่จะซื้อสินค้าหรือบริการหากพวกเขาพอใจกับเนื้อหาและประสบการณ์

3.การสร้างโอกาสในการขายที่ได้รับการปรับปรุง SEO ยังสามารถช่วยปรับปรุงการสร้างโอกาสในการขายโดยเพิ่มการเข้าชมเว็บไซต์ เมื่อผู้มีโอกาสเป็นลูกค้าเข้าชมเว็บไซต์ พวกเขาอาจกรอกแบบฟอร์มติดต่อหรือขอข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์หรือบริการ

หากคุณต้องการปรับปรุงการมองเห็นเว็บไซต์ของคุณในเครื่องมือค้นหา SEO เป็นจุดเริ่มต้นที่ดี มีกลยุทธ์ SEO มากมายที่คุณสามารถใช้ได้ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการสร้างเนื้อหาคุณภาพสูงที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มเป้าหมายของคุณ ด้วยการปฏิบัติตามแนวทางปฏิบัติ SEO ที่ดี คุณสามารถปรับปรุงอันดับเว็บไซต์ของคุณในเครื่องมือค้นหาและดึงดูดผู้เข้าชมได้มากขึ้น

5 ปัจจัยสำคัญ รับประกันความสำเร็จของ SEO

ธุรกิจหลายเจ้าในปัจจุบันเลือกพึ่งพา SEO ในการทำการตลาดออนไลน์เพื่อประชาสัมพันธ์สินค้าและบริการของตนเอง และยังช่วยสร้างความได้เปรียบทางการตลาดเพื่อการแข่งขันกับคู่แข่งอย่างมีประสิทธิภาพ แต่ใช่ว่าการทำ SEO จะประสบผลสำเร็จและได้รับการตอบรับจากลูกค้าที่ดีทุกครั้ง ผู้ประกอบการคงสงสัยว่าปัจจัยอะไรบ้างที่ควบคุมความสำเร็จของการทำ SEO ซึ่งวันนี้เราจะพาไปหาคำตอบกัน

  1. คุณภาพของเนื้อหา

การสร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพและมีการอ้างอิงที่น่าเชื่อถือเป็นพื้นฐานของการทำ SEO ให้สำเร็จอย่างยั่งยืน เป็นการสร้างภาพลักษณ์และความไว้วางใจจากลูกค้า จึงทำให้มีความมั่นคงในตลาดธุรกิจที่ผันผวนมากขึ้น โดยเนื้อหาที่ดีควรเป็นความจริง ไม่ขายฝัน ไม่โฆษณาเกินจริง หรือหลอกลวงลูกค้า นอกจากนั้นคุณภาพลิงค์ที่เชื่อมต่อมายังเว็บไซต์ของธุรกิจจะต้องน่าเชื่อถือด้วย

  1. การหาข้อมูลการลงมือทำ

การรู้เขารู้เราจะทำให้การตลาดออนไลน์มีโอกาสให้ผลตอนแทนที่ดี ดังนั้นการหาข้อมูลในการทำ SEO อย่างละเอียดลงลึก และทำความเข้าใจกลไกการทำงานของ SEO อย่างถี่ถ้วนจะช่วยประกันความสำเร็จของ SEO ได้ดี ซึ่งการหาข้อมูลสามารถทำได้ทั้งจากการศึกษาด้วยตัวเองและปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการทำ SEO ที่มีประสบการณ์มากกว่าเรา

  1. การใช้คีย์เวิร์ดที่เหมาะสม

การเลือกคีย์เวิร์ดที่เหมาะสมเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้การทำ SEO ประสบความสำเร็จ โดยคีย์เวิร์ดที่ดีควรมีความเกี่ยวข้องกับเนื้อหาและสามารถเชื่อมโยงกับธุรกิจได้อย่างสมเหตุสมผล นอกจากนั้นยังควรเป็นคำมีปริมาณการค้นหาบนโลกออนไลน์ที่ดี เพื่อทำให้การทำ SEO ดูน่าสนใจและมียอดการเข้าถึงสูง

  1. การตอบปัญหาของลูกค้า

ในปัจจุบันเมื่อผู้บริโภคเกิดคำถามหรือปัญหา และต้องการพึ่งพาสินค้าบริการต่าง ๆ จะมีการสืบค้นบนโลกออนไลน์เพื่อหาข้อมูลประกอบการตัดสินใจ ดังนั้นเนื้อหาในการทำ SEO จึงควรเป็นสิ่งที่สามารถตอบโจทย์ปัญหาของลูกค้าได้อย่างตรงประเด็นและชัดเจน เพื่อแนะนำและโน้มน้าวให้ผู้บริโภคตัดสินใจตกลงรับข้อเสนอของผู้ผลิตจนสามารถปิดการขายได้อย่างรวดเร็ว

  1. สื่อที่หลากหลาย

เนื้อหาที่ดีถ้าไม่ถูกนำเสนออย่างน่าสนใจและดึงดูดใจอาจจะถูกมองข้ามไปอย่างน่าเสียดาย ดังนั้นการทำ SEO ต้องมีการออกแบบและวางแผนให้น่าสนใจโดยการใช้สื่อที่หลากหลายและเหมาะสมกับสิ่งที่ต้องการนำเสนอ โดยอาจมีการอธิบายอย่างชัดเจนด้วยข้อความ มีการใส่รูป  อินโฟกราฟิกหรือวิดีโอเพื่อให้เห็นภาพของสินค้าและบริการมากขึ้น

จะเห็นว่าการทำ SEO ถูกควบคุมด้วยหลากหลายปัจจัยซึ่งล้วนแต่สร้างผลกระทบต่อผลลัพธ์ทางการตลาดที่แตกต่างกันในหลายแง่มุม และบางปัจจัยอาจเป็นเรื่องที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อน หากเจ้าของธุรกิจเข้าใจและพยายามออกแบบกลยุทธ์การทำ SEO ของตัวเองในอนาคตให้สอดคล้องกับปัจจัยเหล่านี้ จะสามารถเพิ่มโอกาสเข้าถึงลูกค้าและเพิ่มอัตราความสำเร็จทางธุรกิจได้ดีขึ้นแน่นอน

ผู้เชี่ยวชาญ SEO คือใคร มีหน้าที่อะไรต่อธุรกิจบ้าง

การทำ SEO ให้ประสบความสำเร็จจะต้องมีความรู้ความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับอัลกอริทึมของ Google จึงจะสามารถพาเว็บไซต์ให้เติบโตไปติดอันดับต้น ๆ ในการค้นหาได้ จึงเกิดอาชีพ “ผู้เชี่ยวชาญ SEO” ขึ้นมาเพื่อทำหน้าที่ดูแลองค์ประกอบต่าง ๆ ของ SEO โดยเฉพาะ เพื่อเป็นที่พึ่งพาและสร้างความสะดวกสบายให้กับธุรกิจที่ต้องการดำเนินการเกี่ยวกับ SEO โดยเฉพาะ ซึ่งหน้าที่ของผู้เชี่ยวชาญด้านนี้มีหลากหลายด้านที่น่าสนใจ ดังนี้

  1. คัดเลือกคีย์เวิร์ด SEO

คีย์เวิร์ดที่จะนำมาใช้ในการทำ SEO มีหลากหลายและมีอยู่เป็นจำนวนมาก แม้แต่สินค้าหรือบริษัทประเภทเดียวกันก็ไม่จำเป็นต้องใช้คีย์เวิร์ดเดียวกันในการทำ SEO จึงทำให้การเลือกคีย์เวิร์ดสามารถใช้ตัดสินความสำเร็จของการทำ SEO ได้เลยทีเดียว โดยลักษณะคีย์เวิร์ดที่ดีต้องมีปริมาณการค้นหาเยอะ มีทั้งคำที่เฉพาะเจาะจงและคำที่มีความหมายทั่ว ๆ ไป เพื่อให้ครอบคลุมการเสิร์จหาของลูกค้าทุกประเภท

  1. ออกแบบโครงสร้างของเว็บ

การวางแผนโครงสร้างเว็บที่ดีจะทำให้เว็บไซต์ธุรกิจสามารถมอบประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมในการท่องเว็บให้กับเหล่าผู้ใช้งาน ทำให้สามารถมองเห็นภาพรวมของเว็บไซต์ได้อย่างชัดเจน ทำให้ผู้อ่านสามารถเข้าถึงเพจต่าง ๆ ในเว็บไซต์ได้อย่างง่ายดาย นอกจากนั้นการจัดการระบบโครงสร้างภายในเว็บไซต์ให้ดีจะทำให้การแก้ไข ตรวจสอบ และพัฒนาส่วนต่าง ๆ ทำได้คล่องแคล่วมากขึ้นด้วย

  1. กำหนดองค์ประกอบของบทความ SEO

การเขียนบทความเพื่อทำ SEO จำเป็นต้องมีองค์ประกอบเพื่อผลักดันคะแนน SEO ให้สูงพอที่จะติดอันดับต้น ๆ ในผลลัพธ์การค้นหา ซึ่งองค์ประกอบพื้นฐานที่ดีคือการวางคีย์เวิร์ดไว้ในที่ที่เหมาะสมทั้งชื่อเรื่อง เนื้อหา และส่วนต่าง ๆ ของเพจ นอกจากนั้นยังต้องสร้างลิงก์ในการเชื่อมโยงองค์ประกอบต่าง ๆ ทั้งภายในและภายนอกเว็บไซต์เข้าด้วยกัน

  1. ปรับปรุงเนื้อหาให้ตรงกับมาตรฐาน SEO

หลายเว็บไซต์ทางธุรกิจที่มีการดำเนินการมาระยะหนึ่งแล้ว แต่มีผลประกอบการไม่ได้ดั่งใจ เพราะไม่เคยใช้ SEO เพื่อทำการตลาดทางออนไลน์เลย เมื่อถึงเวลาที่ตัดสินใจจะพัฒนาเว็บไซต์ด้วยการทำ SEO การปรับปรุงเนื้อหาเก่า ๆ ที่เคยถูกอัปโหลดในเว็บไซต์ในอดีตควบคู่ไปกับการเพิ่มเนื้อหาใหม่ ๆ จะเป็นอีกทางที่ช่วยพัฒนาระบบให้ดีขึ้นได้อย่างรวดเร็ว และยังทำให้ภาพรวมของเว็บไซต์ดูดีขึ้นอีกด้วย

  1. ติดตามผลของการทำ SEO

การทำ SEO จำเป็นต้องทำการติดตามผลลัพธ์อย่างต่อเนื่องจึงจะทำให้รู้แนวทางการพัฒนาเว็บไซต์ให้ตรงจุด และยังทำให้สามารถวิเคราะห์จุดด้อยของเว็บไซต์และแก้ไขได้อย่างรวดเร็ว ผู้เชี่ยวชาญด้าน SEO ต้องทำการวิเคราะห์องค์ประกอบต่าง ๆ ออกมาเป็นตัวเลขเพื่อใช้ในการวัดผลอย่างเป็นรูปธรรม

จะเห็นได้ว่าความรับผิดชอบของผู้เชี่ยวชาญด้าน SEO ครอบคลุมหลายด้านที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเว็บไซต์ให้มีองค์ประกอบสอดคล้องกับเงื่อนไขในการเลื่อนอันดับตามแนวทางของ SEO ดังนั้นผู้เชี่ยวชาญด้าน SEO จึงเป็นกลุ่มคนที่สามารถช่วยให้การพัฒนาธุรกิจเป็นไปตามเป้าหมายที่วางแผนไว้ ดังนั้นการเลือกพึ่งพาผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้จะมีส่วนช่วยให้ธุรกิจเติบโตได้อย่างมีประสิทธิภาพอย่างแน่นอน

พาธุรกิจความงามและสปาของคุณก้าวกระโดด ด้วย SEO

คุณรู้ไหมว่า ณ ตอนนี้สาว ๆ ทั่วประเทศ และอีกนับล้าน ๆ คนทั่วโลก กำลังค้นหาและรีวิวร้านเสริมสวยและสปาที่พวกเธอต้องการจะเข้าไปใช้บริการ ผู้หญิงกับความสวยงามเป็นสิ่งที่แยกจากกันไม่ได้ และไม่มีใครยอมใครได้เลย พวกเธอจะค้นหา อ่านรีวิว และศึกษาข้อมูลมากมาย เพียงเพื่อให้ตัวเองดูดีในเวอร์ชันที่สวยงามน่ารักที่สุด แล้วคุณเองได้ลงมือทำอะไร เพื่อที่จะดึงดูดสาว ๆ ให้เข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์ธุรกิจความงามและสปาของคุณบ้างหรือไม่ ในขณะที่คู่แข่งของคุณได้พยายามอย่างหนักที่จะทำให้พวกเธอมองเห็นเว็บไซต์ของพวกเขา สำหรับธุรกิจเสริมสวยและสปานั้นหากคุณแค่อยู่เฉย ๆ ก็ไม่ต่างจากการก้าวถอยหลังแล้ว และถ้าคุณไม่ทำอะไรเลย คุณก็จะไม่อาจนำหน้าคู่แข่งของคุณได้

นำพาธุรกิจความงามและสปาของคุณพัฒนาก้าวกระโดด ด้วย SEO

ก่อนอื่นคุณต้องยอมรับความจริงว่า ถึงแม้คุณจะเปิดธุรกิจเสริมสวยและสปาของคุณสู่สาธารณะด้วยการมีเว็บไซต์แล้วก็ตาม แต่นั่นก็ยังไม่เพียงพออย่างแท้จริง เพราะการจะประสบความสำเร็จ และได้รับการยอมรับนั้น คุณยังจะต้องสร้างสถานะออนไลน์ให้เป็นที่รู้จักของลูกค้ากลุ่มเป้าหมายให้เร็วที่สุดอีกด้วย ธุรกิจของคุณจึงจะประสบความสำเร็จได้อย่างแท้จริง และนี่ไม่ใช่สิ่งที่อยู่ไกลเกินเอื้อม นี่คือสิ่งที่คุณเองก็สามารถที่จะไปถึงปลายทางแห่งความสำเร็จเหมือนกับคนอื่น ๆ ได้เช่นเดียวกัน ด้วย SEO เครื่องมือทางการตลาด ที่จะช่วยยกอันดับเว็บไซต์ธุรกิจเสริมสวยความงามและสปาของคุณ ให้ขึ้นมาอยู่ในลำดับต้น ๆ ของเสิร์ชเอนจิน แล้วลูกค้าก็จะได้เห็นคุณเป็นลำดับต้น ๆ เช่นเดียวกัน

SEO เป็นกุญแจสำคัญที่มีศักยภาพในการดึงดูดลูกค้าอย่างอัตโนมัติ

SEO จะช่วยให้กลุ่มลูกค้าเป้าหมายสำหรับธุรกิจความงามและสปา สามารถเข้าถึงรูปแบบและรายละเอียดการบริการทางธุรกิจของคุณได้อย่างง่ายดาย ผ่านทางการตลาดดิจิทัลในสื่อสังคมโซเชียลมีเดีย ยทุกช่องทาง ไม่ว่าจะเป็น เฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ อินสตาแกรม และอื่น ๆ SEO จะช่วยให้คุณสามารถใช้กลยุทธ์การตลาดออนไลน์ดึงดูดลูกค้าเข้ามาใช้บริการได้เป็นจำนวนมาก SEO จะช่วยให้ผู้คนตระหนักและเกิดความรู้สึกว่าธุรกิจของคุณนั้นน่าเชื่อถือเป็นที่นิยม และเป็นธุรกิจสำคัญในเขตพื้นที่นั้น ๆ อันเนื่องมาจากว่า เมื่อพวกเขาทำการสืบค้นหาบริการธุรกิจด้านความงามและสปา ก็จะปรากฏว่า ธุรกิจของคุณคือลำดับแรก ๆ ที่พวกเขาได้พบเจอ และนั่นเองที่ทำให้เกิดเป็นศักยภาพในการดึงดูดลูกค้าอย่างอัตโนมัติ

ดังนั้นยิ่งคุณเริ่มทำ SEO สำหรับการตลาดดิจิทัลได้เร็วเท่าไหร่ คุณก็จะสร้างโอกาสในการขาย และ สามารถปรับปรุงยอดขาย จนสามารถเพิ่มปริมาณการปิดการขายด้วยการดึงดูดลูกค้ามาใช้บริการในธุรกิจความงามและสปาของคุณได้เร็วขึ้นเท่านั้น เริ่มต้นสร้างตัวตนออนไลน์โดยใช้กลยุทธ์ SEO เพื่อปรับปรุงอันดับการพบเจอของหน้าเว็บไซต์ของคุณเสียตั้งแต่ตอนนี้ แล้วคุณจะแปลกใจว่าธุรกิจความงามและสปาของคุณประสบความสำเร็จแบบก้าวกระโดด ได้รวดเร็วอย่างไม่น่าเชื่อจริงๆ 

4 เทคนิค เขียนคอนเทนต์อย่างไรให้ถูกหลัก SEO

เชื่อว่านักการตลาดหลายคนทราบดีกว่าการทำ SEO หรือ Search Engine Optimization จำเป็นต้องใช้องค์ประกอบหลายอย่างเพื่อผลักดันให้เว็บไซต์ติดหน้าแรกการค้นหา เช่น การออกแบบเว็บไซต์ให้ใช้งานง่าย การแสดงบน การเลือกคีย์เวิร์ด ที่ขาดไม่ได้คือการเขียนคอนเทนต์ เพราะคอนเทนต์หรือบทความมีส่วนอย่างมากที่จะช่วยผลักดันให้กลุ่มเป้าหมายพบเจอเว็บไซต์คุณง่ายยิ่งขึ้น นักการตลาดออนไลน์จึงให้ความสำคัญกับการทำคอนเทนต์เป็นอย่างยิ่งเพื่อเพิ่มโอกาสเจอกลุ่มเป้าหมายที่ใช่มากที่สุด

เขียนคอนเทนต์อย่างไรให้ถูกหลัก SEO

1. คอนเทนต์ต้องมีคีย์เวิร์ด

เทคนิคเบื้องต้นสำหรับการเขียนคอนเทนต์รองรับ SEO คือทุกคอนเทนต์ที่อัปโหลดลงเว็บไซต์ต้องมีคีย์เวิร์ด โดยคีย์เวิร์ดจะช่วยให้กลุ่มเป้าหมายค้นเจอเว็บไซต์คุณง่ายยิ่งขึ้น การเลือกคีย์เวิร์ดจำเป็นต้องใช้เครื่องมือในการวิเคราะห์ว่าคีย์เวิร์ดใดมีการค้นหามากที่สุดหรือเทรนด์การใช้คีย์เวิร์ดเป็นอย่างไร ตัวอย่างเครื่องมือยอดนิยม ได้แก่ Google Keyword Planner และ Google Ads เป็นต้น

2. แทรกคีย์เวิร์ดในตำแหน่งเหมาะสม

เมื่อวิเคราะห์คีย์เวิร์ดเรียบร้อยแล้วก็ได้เวลาแทรกคีย์เวิร์ดในตำแหน่งเหมาะสม เพราะตำแหน่งการวางคีย์เวิร์ดมีส่วนสำคัญที่จะทำให้ Search Engine เข้าใจว่าคอนเทนต์นั้น ๆ มีเนื้อหาเกี่ยวกับอะไรและตรงกลุ่มเป้าหมายหรือไม่ สำหรับตำแหน่งที่จำเป็นต้องใส่คีย์เวิร์ด คือ ชื่อบทความ คำบรรยายบทความ หัวข้อ และที่ขาดไม่ได้คือชื่อรูปภาพ

3. กระจายคีย์เวิร์ดอย่างเป็นธรรมชาติ

นอกจากตำแหน่งต่าง ๆ ที่จำเป็นต้องมีคีย์เวิร์ดรวมอยู่ด้วยแล้ว อีกตำแหน่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้เลยคือการใส่คีย์เวิร์ดลงในบทคาม ที่สำคัญคือการกระจายคีย์เวิร์ดให้เป็นธรรมชาติ ไม่พยายามใส่คีย์เวิร์ดจำนวนมากเกินไป โดยปริมาณที่เหมาะสมคือไม่ควรเกิน 2 เปอร์เซ็นต์ของปริมาณข้อความ

4. คอนเทนต์คุณภาพ ตรงความต้องการกลุ่มเป้าหมาย

หัวใจสำคัญของการเขียนคอนเทนต์ให้เป็นไปตามหลัก SEO คือการเขียนคอนเทนต์สดใหม่และอยู่ในความสนใจกลุ่มเป้าหมาย คอนเทนต์ที่ลงในเว็บไซต์จึงต้องเป็นคอนเทนต์ที่ไม่ลอกเลียนแบบมาจากแหล่งอื่น เพราะหากระบบตรวจจับได้ เว็บไซต์อาจโดนแบนจนเสียโอกาสติดหน้าแรกการค้นหา นอกจากนี้คอนเทนต์ต้องน่าสนใจ ตรงความต้องการกลุ่มเป้าหมาย เช่น หากเป็นเว็บไซต์จำหน่ายเครื่องสำอาง บทความควรเกี่ยวข้องกับความสวยความงาม ซึ่งเป็นเรื่องที่กลุ่มเป้าหมายให้ความสนใจเป็นพิเศษ

เมื่อเขียนคอนเทนต์ตามหลัก SEO แล้ว เชื่อว่าเว็บไซต์คุณจะมีโอกาสก้าวสู่หน้าแรกการค้นหาง่ายยิ่งขึ้น แม้ว่าคอนเทนต์จะมีบทบาทสำคัญในการผลักดันให้เว็บไซต์ติดหน้าแรกการค้นหา แต่ถึงอย่างนั้นการทำ SEO จำเป็นต้องพึ่งองค์ประกอบอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็น การออกแบบโครงสร้างเว็บไซต์ การทำ Backlink ความเร็วในการดาวน์โหลด ฯลฯ ที่สำคัญในฝั่งของท่านเจ้าของธุรกิจเองจำเป็นต้องสร้างประสบการณ์ที่ดีในการซื้อสินค้าและบริการร่วมด้วย เช่น การพัฒนาคุณภาพสินค้า การจัดรายการส่งเสริมการขาย ควบคู่ไปกับการทำ SEO เพื่อผลลัพธ์ทางการตลาดที่มีประสิทธิภาพ

ด้านมืดของ SEO ที่คุณอาจคิดไม่ถึง

คงต้องยอมรับว่า วัตถุประสงค์หลักของการทำเว็บไซต์เพื่อประชาสัมพันธ์ข้อมูลและสินค้ารวมทั้งบริการของธุรกิจต่าง ๆ นั้นก็คือ การเปิดเผยข้อมูลให้กับลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย ดังนั้นความคาดหวังของธุรกิจทั้งหลายย่อมจะเป็นไปเพื่อ ให้กลุ่มเป้าหมายและลูกค้าของธุรกิจได้ค้นพบเว็บไซต์ของคุณ และเพื่อให้ความคาดหวังนี้ประสบผลสำเร็จ ดังนั้นธุรกิจต่างๆ จึงหันมาใช้ SEO เพื่อให้บรรลุเป้าหมายในการที่จะช่วยให้มีผู้ชมเข้าถึงเว็บไซต์มากขึ้นนั่นเอง และนี่ก็คือสิ่งที่ยอดเยี่ยมของ SEO เพราะ SEO จะเป็นเครื่องมือที่รับประกันได้ว่าเว็บไซต์ของคุณจะมีจำนวนผู้เข้าชมมากขึ้น อีกทั้ง SEO ยังส่งกลุ่มเป้าหมายและผู้ชมซึ่งเป็นลูกค้ากลุ่มที่มีความเป็นไปได้ ให้เข้าถึงเว็บไซต์ของคุณได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย 

เปิดด้านมืดของ SEO ที่คุณอาจคิดไม่ถึง

แต่ถึงจะยอดเยี่ยมขนาดนี้ SEO ก็มีข้อเสียอยู่บ้างเหมือนกัน และวันนี้เราจะพาคุณไปพบกับด้านมืดของ SEO เครื่องมือที่มีประสิทธิภาพสูงสุดสำหรับการตลาดทางโซเชียลมีเดีย ในทศวรรษนี้ก็ว่าได้

SEO ใช้ไม่ได้กับนวัตกรรม หรือสตาร์ทอัพ

ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่า SEO นั้นถือเป็นศิลปะของการถูกค้นพบ โดยการที่ผู้คนกำหนดคีย์เวิร์ด หรือคำค้น และเข้าถึงเนื้อหาของเว็บไซต์ด้วยคีย์เวิร์ด แต่ถ้าคุณกำลังประดิษฐ์สิ่งใหม่ ๆ หรือนวัตกรรมสินค้าที่ไม่เคยมีมาก่อน แน่นอนว่าผู้คนก็ย่อมจะยังไม่รู้จักผลิตภัณฑ์ หรือสินค้าของคุณ และพวกเขาก็คงจะไม่สามารถนึกถึงคีย์เวิร์ด ที่จะนำไปสู่เว็บไซต์ของคุณได้ กรณีอย่างนี้ SEO จะไม่สามารถช่วยเพิ่มปริมาณการค้นพบให้กับเว็บไซต์ของคุณได้

สแปมจํานวนมาก ของแถมไม่พึงประสงค์ ที่มาพร้อมปริมาณการค้นหาจํานวนมาก

ขณะที่ปริมาณการค้นหาเว็บไซต์ของคุณเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก แต่ในเวลาเดียวกัน ก็ย่อมจะนำพาสแปมจำนวนมากเข้ามาด้วยเช่นกัน ซึ่งกรณีอย่างนี้ คุณก็อาจจะต้องเพิ่มการตั้งค่าฟีเจอร์ในเว็บไซต์ เพื่อช่วยลดสแปม หรือกรองการเข้าถึงโดยสแปมหุ่นยนต์มากมายที่มีอยู่ทั่วไปในโซเชียลมีเดีย และนี่เป็นวิธีที่แม้จะต้องสิ้นเปลืองงบประมาณบ้าง แต่จะช่วยคุณให้ลดโอกาสในการเสียเวลาจากสแปมหุ่นยนต์ และ การขายที่ไม่สำเร็จ อันเนื่องมาจากสแปมหุ่นยนต์ย่อมไม่ใช่ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายที่แท้จริงไปได้บ้าง ใช่แล้ว สแปมก็คือเรื่องที่ชวนปวดหัว ซึ่งเจ้าของเว็บไซต์ทุกคนต้องเผชิญนั่นเอง

ถึงอย่างไรในขณะนี้ ประโยชน์ของ SEO ก็ยังถือว่ามีมากกว่าข้อเสีย จริงอยู่แม้ว่าคุณอาจจะต้องกรองผู้เข้าชมซึ่งเป็นสแปมมากมายออกไป แต่โอกาสที่กลุ่มลูกค้าจะเข้าถึงเว็บไซต์ของคุณเพิ่มมากขึ้น จนนำไปสู่การปิดการขายได้สำเร็จมากขึ้น ก็ย่อมคุ้มค่าที่จะเลือกใช้ SEO จำไว้ว่าการเข้าถึงเว็บไซต์ยังไม่ใช่จุดสิ้นสุดของการขาย ดังนั้นนอกเหนือจาก SEO แล้ว ความซื่อตรงและคุณภาพของสินค้ารวมทั้งบริการ ย่อมจะทำให้ธุรกิจของคุณประสบผลสำเร็จได้อย่างดีและยั่งยืน และนี่คือสิ่งที่สำคัญอย่างมากสำหรับปรัชญาในการดำเนินธุรกิจเพื่อประสบความสำเร็จได้อย่างสง่างามโดยแท้จริง

SEO และ Google AdWords แตกต่างกันอย่างไร

การทำการตลาดออนไลน์ผ่านเครื่องมือค้นหาบนอินเทอร์เน็ตทำเว็บไซต์ให้ติดอันดับหน้าแรก ๆ มี 2 ตัวช่วยหลักคือ SEO และ Google AdWords ซึ่งธุรกิจไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ให้ความสนใจไม่น้อย ถือเป็นเครื่องมืออันทรงพลังในการเจาะเข้าถึงลูกค้าอย่างแม่นยำ โดยไม่ต้องจ่ายแพงเหมือนกับวิธีการโฆษณาแบบดั้งเดิม

หลายคนอาจไม่ทราบว่า SEO และ Google AdWords แตกต่างกันอย่างไร ทำไมบริษัทธุรกิจและนักการตลาดควรใส่ใจในเรื่องนี้ เราจะมาหาคำตอบไปพร้อมกัน

1.SEO (Search Engine Optimization) คือการทำให้เว็บไซต์ขึ้นบนหน้าค้นหาโดยธรรมชาติ การทำ SEO ให้มีประสิทธิภาพต้องสร้างคอนเทนต์เป็นประจำ พร้อมกับปรับโครงสร้างเว็บไซต์ให้เข้าใช้งานง่าย ส่งผลให้มีการแชร์เว็บไซต์ออกมาไปมากๆ อย่างไรก็ตาม SEO ทำได้ง่ายในตอนแรกและไม่ต้องเสียเงินให้ Google แต่ยากที่จะสมบูรณ์แบบได้ในระยะยาว เป็นเพราะวิธีการทำ SEO จะใช้เวลาไม่น้อยกว่า 5-6 เดือน หลังจากขึ้นไปอันดับสูง ๆ ได้แล้ว การรักษาตำแหน่งไว้ให้ยั่งยืนยิ่งเป็นเรื่องยาก จำเป็นต้องทำการปรับปรุงเป็นประจำเพื่อให้ยังรักษาอันดับต้น ๆ เอาไว้ให้ได้ ด้วยเหตุนี้ ถ้าอยากดันอันดับเว็บไซต์ให้สูงขึ้นจะต้องเสียค่าบริการให้ผู้เชี่ยวชาญด้าน SEO เพื่อโปรโมทให้สินค้าหรือบริการออกไปสู่สายตาผู้คนจำนวนมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

2.Google AdWords อธิบายง่าย ๆ ว่าคือการลงโฆษณาเว็บไซต์บนหน้าค้นหากับ Google โดยตรง มีการเก็บเงินเมื่อมีคนคลิกเข้าไปชมเว็บไซต์นั่นเอง สิ่งสำคัญคือการเลือกคีย์เวิร์ดและคำโฆษณาได้เองตามต้องการ สามารถเปลี่ยนคำใหม่ได้ทุกเมื่อ วิธีนี้ช่วยให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้น จะถูกเรียกเก็บเงินเมื่อมีคนคลิกบนโฆษณาเท่านั้นและจ่ายเงินตามจำนวนคนที่คลิกเข้ามาดู ถือว่า Google Ads มีค่าใช้จ่ายค่อนข้างถูกและได้ผลดีน่าพอใจ สามารถควบคุมงบประมาณไม่ให้บานปลายได้และเก็บข้อมูลยอดขายมาต่อยอดเพื่อหาช่องทางการขายที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ Google Ads ยังเป็นเครื่องมือทำการตลาดออนไลน์บนเว็บไซต์อื่น ๆ บนเครือข่ายของ Google ซึ่งจะช่วยให้เราเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายมากยิ่งขึ้น สามารถเข้าถึงเว็บไซต์นับพันแห่งในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณด้วย

สุดท้ายแล้วเป้าหมายของการทำ SEO ช่วยให้บริษัทและธุรกิจของคุณค้นหาทางออนไลน์ได้ง่าย ในขณะที่ Google Ads ช่วยให้ใช้ประโยชน์จากการโฆษณาออนไลน์เข้าถึงผู้ชมที่ใช่ ในสถานที่และเวลาที่เหมาะสม เหมาะสำหรับการดึงดูดผู้เข้าชมมายังเว็บไซต์ ช่วยส่งเสริมการเติบโตในระยะสั้น ส่วนการเติบโตในระยะยาวจำเป็นต้องอาศัยเวลาและมุ่งเป้าหมายให้ธุรกิจเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน

สรุปความต่างระหว่าง SEO และ Google AdWords

1.SEO สามารถทำให้เว็บไซต์ติดอันดับการค้นหาของ Google ได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม แตกต่างจาก Google AdWords ทำให้เว็บไซต์ติดอันดับการค้นหาได้เร็วกว่า แต่ต้องมีเงินทุนอัดฉีดด้านโฆษณาต่อเนื่อง ถ้าหยุดจ่ายค่าโฆษณาเมื่อไร อันดับก็จะลดลงไปเรื่อยๆ

2.ข้อดีของ SEO คือช่วยให้เว็บไซต์ติดอันดับการค้นหาของ Google ได้นานและคงที่มากกว่า ในขณะที่ Google AdWords ไม่เพียงแสดงผลโฆษณาบนเว็บไซต์เท่านั้น แต่ยังรวมถึงพันธมิตรของ Google ด้วย

สรุปว่าการทำ SEO เหมาะกับธุรกิจที่ทำมานานและต้องการมีตัวตนในโลกออนไลน์ เพื่อเข้าถึงลูกค้าในวงกว้างมากขึ้นและสร้างความเชื่อมั่นยิ่งขึ้น สำหรับ Google AdWords เน้นการโปรโมทธุรกิจใหม่เพื่อให้ติดอันดับใน Google แบบเร่งด่วน แต่มีข้อจำกัดเรื่องอัดฉีดเงิน ถ้าเงินโฆษณาหมด อันดับของเว็บไซต์ก็จะลดลงด้วย

ทำไมต้องทำ SEO ในเมื่อสามารถที่จะซื้อโฆษณาให้เว็บไซต์ได้

ปัจจุบันตลาดออนไลน์ในประเทศไทยมีมูลค่าทางการตลาดที่สูงมาก แตกต่างจากช่วง 10 ปี ที่ผ่านมาเป็นอย่างมาก แม้แต่ห้างสรรพสินค้าและแบรนด์สินค้าชื่อดังก็กระโดดร่วมวงในการขายสินค้าออนไลน์แข่งกับเค้าด้วย ทำให้เกิดการแข่งขันในวงกว้าง โดยเฉพาะการโฆษณาออนไลน์ มีการอัดค่าโฆษณาด้วยเม็ดเงินมหาศาลเพื่อจับจ้องพื้นที่สื่อโซเชียลให้เห็นสินค้าของตนเองตลอด 24 ชั่วโมง แต่ด้วยการปรับเปลี่ยนอัลกอริทึมของ Search Engine และ Facebook ทำให้การโฆษณาอาจไม่มีความหมายอีกต่อไป หากคุณไม่ได้รับการพัฒนาเว็บไซต์ให้มีคุณภาพ ตามหลักเกณฑ์ของ Search Engine ที่มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบของการค้นหาให้เป็นแนวทางที่มีความยั่งยืนและเน้นการเป็นผู้ให้ข้อมูลและความรู้แก่คนที่ติดตามอย่างแท้จริง จึงเป็นที่มาว่าทำไมต้องทำ SEO มากกว่าที่จะมุ่งเน้นไปที่การซื้อโฆษณาเพียงอย่างเดียว

User เน้นการคลิกไปที่การค้นหาแบบ Organic Search

หากคุณเป็นคนหนึ่งที่ใช้ Google ในการค้นหาข้อมูล จะพบว่ามีเว็บไซต์ต่าง ๆ ถูกจัดเรียงลำดับให้ โดนในช่วง 1-5 ข้อมูลที่ Google ค้นหามาให้จะเป็นเว็บไซต์ที่ผ่านการยิงแอด หรือมีคำว่า โฆษณา ติดแนบท้าย รู้หรือไม่ว่า User ส่วนใหญ่มักจะคลิกเลือกในลำดับถัด ๆ มาที่ไม่มีโฆษณามากกว่า นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมถึงต้องทำ SEO เพราะคนส่วนใหญ่เลือกที่จะคลิกเลือก Organic Search มากกว่า Paid Search นั่นเอง

การทำ SEO ใช้เงินลงทุนต่ำหรือแทบไม่ได้ใช้เลย

หากคุณซึ่งเป็นเจ้าของกิจการที่ทำเว็บไซต์เอง มีทีมงานในการประชาสัมพันธ์และรู้หลักการทำ SEO อาจไม่ต้องเสียค่าจ้างบุคคลภายนอกในการทำ SEO หรือหากต้องว่าจ้างก็ใช้เงินลงทุนที่ต่ำ ในขณะที่ผลการจัดอันดับการค้นหาก็จะอยู่ในอันดับที่ดีในระยะยาว ไม่ใช่แค่ขึ้นติด Top Chart เพียงข้ามคืนก็หายไปเสียแล้ว

ลดต้นทุนในการโฆษณา

แม้การทำ SEO จะใช้ระยะเวลาที่นานกว่าที่เว็บไซต์จะสามารถติดอันดับตามที่ต้องการได้ ก็จะช่วยให้คุณลดต้นทุนในการยิงแอดลงไปได้ เพราะหากคอนเทนต์หรือเว็บไซต์ของคุณมีเนื้อหาที่ตอบโจทย์และแก้ไขปัญหาให้คนจำนวนมากได้ ก็จะทำให้การไต่อันดับขึ้นไปอยู่ลำดับต้น ๆ ของการค้นหาคงไม่ยาก

เว็บไซต์มีคุณภาพมากขึ้น

รู้หรือไม่ว่าการที่เว็บไซต์มีคนนำข้อมูลไปอ้างอิงมาก ๆ ก็ส่งผลต่อการจัดอันดับในการค้นหาของ Search Engine ด้วย โดยเฉพาะเว็บไซต์ที่ดี มีคุณภาพ นำเสนอข้อมูลที่ถูกต้อง ชัดเจน เมื่อมีคนนำบทความ หรือแหล่งที่มาแล้วอ้างอิงเป็นเว็บไซต์ของคุณ จำนวนมาก ๆ ก็จะทำให้ Search Engine มองว่าเว็บไซต์ของคุณมีคุณภาพและจัดอันดับให้อยู่ต้น ๆ ของการค้นหาด้วย

เห็นหรือยังว่าการทำ SEO มีความสำคัญต่อเว็บไซต์อย่างไร หากคุณต้องการที่จะเป็นหนึ่งในใจของ Search Engine จะต้องทำตามกฎ ระเบียบและข้อบังคับของ Search Engine เพื่อให้เว็บไซต์มีคุณภาพและยั่งยืนต่อไปในอนาคตได้