ป้ายกำกับ: ธุรกิจออนไลน์

เหตุผลว่าทำไมธุรกิจออนไลน์ถึงควรเลิกยิง Ads แล้วหันมาทำ SEO แทน

หนึ่งทางเลือกในการเพิ่มโอกาสการเข้าถึงลูกค้าให้มากขึ้นของธุรกิจก็คือการยิง Ads โฆษณาบนแพลตฟอร์มออนไลน์ต่าง ๆ โดยเฉพาะพวกโซเชียลมีเดีย แล้วหวังว่าธุรกิจจะมีคนหันมาสนใจสินค้าและตัดสินใจซื้อสินค้ามากขึ้น รวมไปถึงการจ่ายให้กับ Google เพื่อสร้างทางลัดให้ธุรกิจสามารถขึ้นมาอยู่บนอันดับต้น ๆ ของการค้นหา

ซึ่งนี่ดูเหมือนจะเป็นเรื่องดีที่สะดวก ง่าย และเห็นผลทันที แต่รู้หรือไม่ว่าการได้มาอยู่ในอันดับต้น ๆ ของการค้นหา ไม่สามารถการันตีผลสำเร็จของธุรกิจได้ และต่อไปนี้ก็คือเหตุผลว่าทำไมการทำ SEO จึงเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจกว่า

1. เสียค่าใช้จ่ายสูง อย่างที่รู้กันดีว่าการยิง Ads มีค่าใช้จ่ายที่สูงไม่น้อย ซึ่งนั่นก็คือต้นทุนของธุรกิจ และถ้าธุรกิจต้องพึ่งการสร้างรายได้ผ่านการโหมโฆษณาหนัก ๆ จะทำให้ธุรกิจต้องแบกต้นทุนการตลาดสูง กำไรก็จะลดลง ยิ่งทำมากยิ่งเสี่ยงที่จะขาดทุนมากเพราะค่าใช้จ่ายจะสูงขึ้นเรื่อย ๆ

2. คนมักไม่ชอบโฆษณา เราเชื่อว่าทุกคนถ้านั่งดูอะไรอยู่แล้วมีโฆษณาโผล่ขึ้นมา ถ้ากด Skip ได้ ก็พร้อมจะกดทันที นั่นรวมไปถึงอันดับการค้นหาบน Google ด้วย ที่หลายคนมักเลือกมองข้ามธุรกิจที่ซื้อโฆษณา แต่จะเลือกไปคลิกเอาหน้าเว็บที่ได้อันดับมาแบบ Organic มากกว่า

3. การได้ลูกค้าที่ตรงกลุ่ม ส่วนใหญ่เวลายิง Ads บนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย ธุรกิจจะต้องเลือกว่าจะนำเสนอสินค้าไปยังกลุ่มเป้าหมายใดที่เป็นกลุ่มเป้าหมายจากการวิเคราะห์ตลาด แต่การทำ SEO จะช่วยให้ธุรกิจได้เข้าถึงลูกค้าตัวจริงมากกว่า จากการเลือกเข้ามาอ่านคอนเทนต์ SEO บนเว็บไซต์

4. ความสำเร็จในระยะยาว ข้อเสียอย่างหนึ่งของการจ่ายเงินเพื่อซื้อ Ranking หรือยิง Ads ให้คนเห็นธุรกิจคือถ้าหยุดจ่ายทุกอย่างก็จะจบ แต่ถ้าเป็นการทำ SEO จะเป็นความสำเร็จในระยะยาว เพียงแค่ทำอย่างต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ เป็นความสำเร็จระยะยาวที่คุ้มค่า

5. โอกาสซื้อที่มากกว่า อย่างที่บอกว่าคนมักกดข้ามโฆษณาและคิดว่าการจ่ายเงินเพื่อขึ้นมาอยู่บนอันดับต้น ๆ ของ Google เป็นอะไรที่ไม่น่าสนใจ แต่ถ้าเป็นเว็บไซต์ที่มีการทำคอนเทนต์ SEO คุณภาพ จะมีแนวโน้มทำให้เกิดการวางใจและเป็นปฏิสัมพันธ์ที่ดีกว่า และการสื่อสารเนื้อหาที่ลูกค้าสนใจก็จะกระตุ้นให้เกิดการตัดสินใจซื้อได้มากกว่าด้วย

เพราะการเลือกทำ SEO ด้วยการใช้บทความคุณภาพ จะช่วยสร้างความยั่งยืนให้กับการทำการตลาดของธุรกิจออนไลน์ได้เห็นผลมากกว่า ถึงแม้จะเป็นวิธีที่ค่อนข้างใช้เวลาสักหน่อย แต่รับรองเลยว่าในระยะยาวแล้วคุ้มกว่าการเสียเงินไปกับการจ้างยิง Ads แน่นอน

เหตุผลที่ธุรกิจออนไลน์ยุค 2019 ต้องทำ SEO

การทำเว็บไซต์เพื่อขายสินค้าออนไลน์ ในยุค 2019 ไม่ว่าจะเป็นสินค้าประเภทเครื่องสำอาง เสื้อผ้า ของใช้ในครัวเรือน ตลอดจนธุรกิจการท่องเที่ยว โรงแรม ฯลฯ ต่างจำเป็นจะต้องพัฒนาเว็บไซต์ให้สอดคล้องตามหลักการ SEO เพื่อให้เพิ่มอำนาจในการแข่งขันเทียบเคียงกับคู่แข่งรายอื่น

เนื่องจากการทำ SEO หรือ Search Engine Optimization เป็นโอกาสที่ทำให้เว็บไซต์ของคุณถูกสืบค้นได้ง่ายจาก Bing, Yahoo และ Google โดยที่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย เพียงอาศัยการพัฒนาปรับปรุงคุณภาพของเว็บไซต์ในด้านต่าง ๆ ต่อไปนี้ อย่างสม่ำเสมอ

1. On-Page SEO เป็นการปรับในส่วนของโครงสร้างเว็บไซต์ในด้านต่าง ๆ เช่น

– ออกแบบโครงสร้างให้ใช้งานง่าย มีการจัดสินค้าเป็นหมวดหมู่ชัดเจน เช่น หากขายเสื้อผ้าออนไลน์ ควรทำเป็นหมวดเสื้อ กางเกง เครื่องประดับ และมีช่องทางในการติดต่อที่เห็นชัดเจน รวมถึงแยกพื้นที่โฆษณาไว้ที่มุมด้านใดด้านเดียว จะทำให้มีความเป็นระเบียบและใช้งานได้ง่ายยิ่งขึ้น

– ผลิตเนื้อหา Content ที่มีประโยชน์ให้สาระกับผู้อ่าน โดยไม่มีการคัดลอกมาจากแหล่งข้อมูลอื่น เพื่อให้ผู้อ่านใช้เวลาอยู่ในหน้าจอเว็บเพจของคุณมากยิ่งขึ้น และกลับมาใช้บริการซ้ำอีก จะทำให้อันดับ SEO ในการสืบค้นจาก Bing, Google และ Yahoo มากขึ้นตามไปด้วย

– การทำคลิปวีดีโอหรือเลือกรูปภาพประกอบ ต้องมีความดึงดูดใจและมีความคิดสร้างสรรค์ พร้อมทั้งส่งเสริมการขายสินค้าได้ดี ตัวอย่างเช่น หากคุณขายเครื่องฟอกอากาศ ก็ควรทำคลิปสอนสาธิตวิธีการใช้ และบอกได้ว่าแตกต่างจากเครื่องแบรนด์อื่นอย่างไร

2. Off-Page SEO เป็นการทำลิงค์เชื่อมโยงเว็บไซต์ของคุณกับเว็บไซต์ภายนอก

โดยใช้เทคนิคที่แสดงความจริงใจ เช่น การให้สาระความรู้ตอบคำถามแก่ผู้ที่มีปัญหาในการใช้สินค้าประเภทเดียวกันกับที่คุณจำหน่ายอยู่ เพราะคุณเป็นผู้ที่มีข้อมูลในเชิงลึกมากกว่าบุคคลทั่วไป ซึ่งจะทำให้เว็บไซต์ของคุณมีความน่าเชื่อถือและเป็นการส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ดี ทำให้มีคนสนใจเข้ามาสอบถามข้อมูลสินค้าผ่านลิงก์ที่คุณแปะไว้ และทำให้เพิ่มยอดจำหน่ายจากลูกค้าฐานกว้างยิ่งขึ้นในระยะยาว

ทั้งนี้ ระบบ Algorithm ของ Search Engine จะใช้เวลาในการสะสมข้อมูลเพื่อวิเคราะห์ก่อนจัดลำดับเว็บไซต์ในหน้าจอแสดงผล จึงต้องใช้ระยะเวลาในการเห็นผลลัพธ์ 6 เดือนถึง 1 ปีขึ้นไป หลังการเริ่มทำ SEO โดยขึ้นกับประเภทของธุรกิจ หากมีการแข่งขันกันสูงก็อาจใช้เวลานานมากขึ้น

จะเห็นได้ว่า การทำ SEO เป็นแนวทางที่สำคัญในการทำให้คุณพัฒนาเว็บไซต์อย่างมีเป้าหมายและตรงใจกลุ่มลูกค้า เพื่อการขายสินค้าและบริการได้มากยิ่งขึ้นในระยะยาว ซึ่งผู้เชี่ยวชาญทางการตลาดและการขายสินค้าออนไลน์ แนะนำว่า SEO เป็นเทคนิคที่ให้ผลลัพธ์คุ้มค่าทั้งด้านยอดขายและจำนวนลูกค้า ในปี 2019 ที่ทุกธุรกิจควรให้ความใส่ใจ

หลักการ SEO เพื่อให้เพิ่มอำนาจในการแข่งขัน

9 สิ่งที่ต้องมองหาในนักเขียน SEO เพื่อทำธุรกิจออนไลน์ให้สำเร็จ

การทำเว็บไซต์ขายสินค้าและบริการให้เข้าสู่ระบบ SEO จนสามารถติดตลาดและเพิ่มยอดขายได้อย่างน่าพึงพอใจไม่ใช่เรื่องยาก โดยหนึ่งในนั้นคือการเลือกนักเขียนบทความแนว SEO ที่มีคุณภาพตอบโจทย์ธุรกิจของคุณ ดังนั้น หากคุณกำลังมองหานักเขียนแนว SEO ที่ช่วยให้ธุรกิจประสบความสำเร็จ ควรดูจากอะไรบ้างมาดูกัน

1. ควรเลือกนักเขียนที่มีผลงานเขียนให้ชม เลือกที่มีแนวทางใช้ภาษาที่สวยงาม แต่ก็กระชับและมีความทันสมัยในตัวเองด้วย

2. การสะกดคำทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษต้องถูกตามหลักภาษา แม้แต่การใช้วรรณยุกต์ เอก โท ตรี จัตวา ก็ต้องเป๊ะด้วย เนื่องจากการปรากฏคำผิดแม้เพียง 2 ถึง 3 ครั้งในแต่ละเพจ จะส่งผลต่อความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์ในภาพรวม

3. นักเขียนที่ดีต้องรู้หลักการวางตำแหน่งคีย์เวิร์ดที่ช่วยส่งเสริมการขายและสร้างความน่าเชื่อถือให้แก่บริษัท

4. บทความ SEO ต้องไม่มีจำนวนคีย์เวิร์ดมากและถี่เกินไปในแต่ละเพจ เช่น หากความยาวอยู่ในช่วง 500 ถึง 1000 คำ ไม่ควรใส่เกิน 5 คีย์เวิร์ดและไม่ควรซ้ำเกิน 5 ครั้งในแต่ละบทความ

5. เมื่อรู้คีย์เวิร์ดที่จะใช้ ไม่ว่ามาจากการวิจัยคีย์เวิร์ดด้วยโปรแกรมหรือการกำหนดเองจากผู้จ้างงาน นักเขียนที่มีประสบการณ์จะสามารถคิดหัวข้อและจินตนาการสร้างโครงเรื่องในหัวได้แทบจะทันที เพื่อให้สามารถนำเสนอธีมหรือแนวเขียนบทความกับผู้ว่าจ้างได้อย่างรวดเร็ว ทำให้เริ่มและจบผลงานได้ฉับไวตามมาด้วย

9 สิ่งที่ต้องมองหาในนักเขียน

6. การทำงานเขียน SEO ที่มีคุณภาพเพื่อธุรกิจออนไลน์ จำเป็นต้องวิเคราะห์ความต้องการของผู้บริโภคหรือผู้อ่าน ประหนึ่งเข้าไปนั่งในใจผู้อ่านว่าต้องการอะไร ซึ่งเป็นทักษะที่ไม่ได้ในนักเขียนทุกคน ประเด็นนี้จึงทำให้มูลค่างานเขียนหรือค่าจ้างของงานแตกต่างกัน

7. การไม่ล่าช้าในการทำงาน หรือการส่งงานตรงเวลาที่กำหนด เป็นคุณสมบัติที่สำคัญของนักเขียนที่จะช่วยให้การทำงาน SEO ง่ายขึ้น เพราะสามารถมีบทความดี ๆ อัพเดตบนเว็บไซต์ได้ตาม timeline เพื่อให้การจัดอันดับเว็บไซต์พุ่งขึ้นสู่อันดับท็อปและติดตลาดได้อย่างยาวนาน

8. การรักษาความลับของลูกค้าแต่ละเจ้า จะช่วยให้การทำงานมีความเชื่อใจกันมากขึ้น การเปิดเผยเพียงบางส่วนเพื่อการเป็นตัวอย่างแนวเขียนอาจกระทำได้ หากผู้ว่าจ้างรายเก่าที่เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์บทความอนุญาต

9. การจัดโครงสร้างของเนื้อหาในบทความที่เหมาะสม ก็เป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้เพิ่มความน่าอ่าน สามารถจับประเด็นได้ง่าย และแม้จะปิดท้ายด้วยวลีส่งเสริมการขายก็ไม่ได้น่าเกลียด หากเนื้อความส่วนใหญ่เกิน 60 เปอร์เซ็นต์เป็นการให้สารประโยชน์มีคุณค่าแก่ผู้อ่าน

เป็นอย่างไรกันบ้างกับ 9 ข้อที่เรียกได้ว่าเป็นคุณสมบัติที่ห้ามขาดในนักเขียนแนว SEO หวังว่าจะเป็นประโยชน์ต่อทุกธุรกิจออนไลน์ในการเลือกจ้างงานเขียนที่มีคุณภาพต่อไป

มองหานักเขียน SEO เพื่อทำธุรกิจออนไลน์ให้สำเร็จ