ป้ายกำกับ: Search Engine Optimization

seo คุ้มที่จะลงทุนไหม?

การลงทุนใน SEO นั้นคุ้มค่ามากสำหรับธุรกิจส่วนใหญ่ ต่อไปนี้เป็นรายละเอียดข้อดีและข้อเสียเพื่อช่วยคุณตัดสินใจ

เหตุผลในการลงทุนใน SEO

ROI สูง: SEO สามารถให้ผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) ที่สำคัญโดยการกระตุ้นการเข้าชมแบบออร์แกนิกที่แปลงเป็นโอกาสในการขายและยอดขาย เมื่อเปรียบเทียบกับการโฆษณาแบบชำระเงิน ผลลัพธ์ SEO มีความยั่งยืนและคุ้มค่ากว่าในระยะยาว

การรับรู้ถึงแบรนด์และความไว้วางใจ: การจัดอันดับเครื่องมือค้นหาที่สูงสามารถสร้างการรับรู้ถึงแบรนด์และสร้างเว็บไซต์ของคุณให้เป็นหน่วยงานที่เชื่อถือได้ในอุตสาหกรรมของคุณ ผู้ใช้มีแนวโน้มที่จะคลิกและเชื่อถือเว็บไซต์ที่ปรากฏที่ด้านบนของผลการค้นหา

การเข้าชมที่ตรงเป้าหมาย: SEO ช่วยดึงดูดผู้ใช้ที่สนใจสิ่งที่คุณนำเสนออยู่แล้ว พวกเขากำลังค้นหาคำหลักที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์หรือบริการของคุณอย่างจริงจัง ทำให้มีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนมาเป็นลูกค้ามากขึ้น

ผลประโยชน์ระยะยาว: เมื่อเว็บไซต์ของคุณได้รับการปรับให้เหมาะกับ SEO แล้ว ผลประโยชน์นั้นจะคงอยู่ยาวนาน คุณจะยังคงได้รับผลตอบแทนจากการเข้าชมแบบออร์แกนิกต่อไปเป็นเวลาหลายเดือนหรือหลายปีต่อจากนี้

อย่างไรก็ตาม ยังมีบางสิ่งที่ต้องพิจารณา

การลงทุนด้านเวลา: การเห็นผลลัพธ์จาก SEO ต้องใช้เวลาและความพยายาม คุณจะต้องสร้างเนื้อหาคุณภาพสูงอย่างสม่ำเสมอ เพิ่มประสิทธิภาพโครงสร้างเว็บไซต์ของคุณ และติดตามแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดของ SEO อยู่เสมอ

การแข่งขัน: การจัดอันดับคำหลักที่มีการแข่งขันสูงอาจเป็นเรื่องที่ท้าทาย มีหลายปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการจัดอันดับของเครื่องมือค้นหา และคุณอาจต้องอดทนและพากเพียรเพื่อดูผลลัพธ์

ค่าใช้จ่าย: แม้ว่า SEO จะไม่แพงมากนัก แต่ก็อาจมีค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับเครื่องมือ SEO การจ้างผู้เชี่ยวชาญ หรือการสร้างเนื้อหา

โดยรวมแล้ว SEO คือการลงทุนเชิงกลยุทธ์ที่สามารถมอบประโยชน์ที่สำคัญให้กับเว็บไซต์ของคุณ หากคุณเต็มใจสละเวลาและความพยายาม (หรือลงทุนในทรัพยากร) SEO สามารถเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการกระตุ้นการเข้าชมแบบออร์แกนิก สร้างการรับรู้ถึงแบรนด์ และบรรลุเป้าหมายทางธุรกิจของคุณ

ความสำคัญของ SEO Onpage

On-page SEO: รากฐานของการมองเห็นเว็บไซต์

On-page SEO หรือที่รู้จักในชื่อ On-site SEO เป็นสิ่งสำคัญสำหรับเว็บไซต์ใดๆ ที่มุ่งหวังอันดับเครื่องมือค้นหาที่สูงและดึงดูดปริมาณการเข้าชมทั่วไป ซึ่งเกี่ยวข้องกับการเพิ่มประสิทธิภาพองค์ประกอบต่างๆ ภายในหน้าเว็บของคุณเพื่อบ่งบอกถึงความเกี่ยวข้องและคุณค่าขององค์ประกอบเหล่านั้นต่อเครื่องมือค้นหาเช่น Google

นี่คือสาเหตุที่ SEO บนเพจมีความสำคัญมาก

1. ความเข้าใจเกี่ยวกับเครื่องมือค้นหา การเพิ่มประสิทธิภาพบนเพจช่วยให้เครื่องมือค้นหาเข้าใจธีมเนื้อหา กลุ่มเป้าหมาย และวัตถุประสงค์โดยรวมของเนื้อหาของคุณ ความชัดเจนนี้ช่วยให้สามารถจับคู่หน้าเว็บของคุณกับคำค้นหาที่เกี่ยวข้อง ช่วยเพิ่มโอกาสที่จะปรากฏในผลการค้นหา

2. ปรับปรุงอันดับ ด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพแท็กชื่อ คำอธิบายเมตา ส่วนหัว คำสำคัญ และโครงสร้างเนื้อหาอย่างมีประสิทธิภาพ คุณจะให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์แก่เครื่องมือค้นหาเกี่ยวกับความเกี่ยวข้องของเพจของคุณ สิ่งนี้สามารถช่วยเพิ่มอันดับของคุณในหน้าผลลัพธ์ของเครื่องมือค้นหา (SERP) ได้อย่างมาก

3. ประสบการณ์ผู้ใช้ที่ได้รับการปรับปรุง SEO บนเพจไม่ได้เกี่ยวกับเครื่องมือค้นหาเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวกับการสร้างประสบการณ์ที่ดีแก่ผู้ใช้อีกด้วย การเพิ่มประสิทธิภาพองค์ประกอบต่างๆ เช่น โครงสร้างเว็บไซต์ การนำทาง และความสามารถในการอ่านเนื้อหา ทำให้ผู้ใช้สามารถค้นหาสิ่งที่ต้องการได้ง่ายขึ้น ปรับปรุงการมีส่วนร่วม และลดอัตราตีกลับ

4. เพิ่มการเข้าชมแบบออร์แกนิก การจัดอันดับที่สูงขึ้นและประสบการณ์ผู้ใช้เชิงบวกจะนำไปสู่การเข้าชมที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติมากขึ้น โดยดึงดูดผู้เยี่ยมชมที่สนใจเนื้อหาหรือข้อเสนอของคุณอย่างแท้จริง การเข้าชมที่เกิดขึ้นเองนี้มักจะมีคุณค่ามากกว่าการเข้าชมที่เสียค่าใช้จ่าย เนื่องจากมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนไปสู่โอกาสในการขายหรือลูกค้ามากกว่า

5. ความได้เปรียบทางการแข่งขัน ในโลกดิจิทัลในปัจจุบัน SEO บนเพจที่มีประสิทธิภาพถือเป็นสิ่งสำคัญในการทำให้โดดเด่นเหนือคู่แข่ง การลงทุนกับการเพิ่มประสิทธิภาพบนเพจทำให้มั่นใจได้ว่าเว็บไซต์ของคุณจะปรากฏต่อผู้ชมเป้าหมายและสามารถแข่งขันเพื่อดึงดูดความสนใจของพวกเขาได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ข้อควรจำ : SEO บนเพจเป็นกระบวนการต่อเนื่อง ไม่ใช่การแก้ไขเพียงครั้งเดียว อัลกอริธึมของเครื่องมือค้นหามีการพัฒนา และพฤติกรรมของผู้ใช้ก็เปลี่ยนไป ดังนั้นการตรวจสอบและอัปเดตองค์ประกอบบนหน้าเว็บของคุณเป็นประจำจึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการรักษาการมองเห็นและความสำเร็จ

คู่แข่งของ seo

คู่แข่ง SEO คือเว็บไซต์ที่จัดอันดับด้วยคำหลักเดียวกันกับเว็บไซต์ของคุณ พวกเขาคือสิ่งที่คุณกำลังแข่งขันด้วยเพื่อให้ปรากฏในผลการค้นหา

เพื่อระบุคู่แข่ง SEO ของคุณ คุณสามารถใช้เครื่องมือที่หลากหลาย เช่น

1.Google Search Console เครื่องมือนี้แสดงเว็บไซต์ที่กำลังจัดอันดับสำหรับคำหลักเป้าหมายของคุณ

2.Semrush เครื่องมือนี้ให้ภาพรวมที่ครอบคลุมเกี่ยวกับประสิทธิภาพ SEO ของคู่แข่งของคุณ รวมถึงโปรไฟล์ลิงก์ย้อนกลับ การเข้าชมทั่วไป และการจัดอันดับคำหลัก

3.Ahrefs เครื่องมือนี้คล้ายกับ Semrush แต่มีฟีเจอร์ที่เรียกว่า “การวิเคราะห์คู่แข่ง” ที่ให้คุณเปรียบเทียบประสิทธิภาพ SEO ของเว็บไซต์ของคุณกับคู่แข่งของคุณ

เมื่อคุณระบุคู่แข่ง SEO ของคุณได้แล้ว คุณสามารถเริ่มวิเคราะห์เว็บไซต์ของพวกเขาเพื่อดูว่าพวกเขาทำอะไรได้ดีและคุณสามารถปรับปรุงจุดใดได้บ้าง ดังต่อไปนี้

-คำหลัก คู่แข่งของคุณจัดอันดับด้วยคำหลักใด มีคำหลักใดบ้างที่คุณไม่ได้จัดอันดับตามที่ควรจะเป็น?

-เนื้อหา คู่แข่งของคุณมีเนื้อหาประเภทใดบนเว็บไซต์ของพวกเขา มีคุณภาพสูงและให้ข้อมูลหรือไม่?

-Backlinks คู่แข่งของคุณมี Backlinks กี่อัน? มาจากเว็บไซต์คุณภาพสูงหรือไม่?

-SEO บนเพจ เว็บไซต์ของคู่แข่งของคุณได้รับการปรับให้เหมาะกับเครื่องมือค้นหาได้ดีแค่ไหน? พวกเขาใช้คำหลักที่เกี่ยวข้องในชื่อเรื่อง ส่วนหัว และข้อความเนื้อหาหรือไม่

ด้วยการวิเคราะห์เว็บไซต์ของคู่แข่ง คุณจะได้รับข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับสิ่งที่คุณต้องทำเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพ SEO ของคุณเอง

ข้อดีของการทำวิจัยคู่แข่ง SEO

1.ระบุจุดแข็งและจุดอ่อนของคุณ ด้วยการเปรียบเทียบเว็บไซต์ของคุณกับคู่แข่ง คุณสามารถระบุจุดแข็งและจุดอ่อนของคุณในแง่ของ SEO สิ่งนี้จะช่วยให้คุณมุ่งเน้นการทำ SEO ในพื้นที่ที่คุณสามารถปรับปรุงได้มากที่สุด

2.ค้นหาโอกาสใหม่ๆ การวิจัยคู่แข่ง SEO สามารถช่วยคุณค้นหาคำหลักใหม่เพื่อกำหนดเป้าหมายและแนวคิดเนื้อหาใหม่ นอกจากนี้ยังช่วยให้คุณระบุโอกาสลิงก์ย้อนกลับใหม่ๆ ได้อีกด้วย

3.นำหน้าคู่แข่ง การติดตามกลยุทธ์ SEO ของคู่แข่งให้ทันสมัยอยู่เสมอ คุณสามารถนำหน้าคู่แข่งและมั่นใจได้ว่าเว็บไซต์ของคุณยังคงปรากฏในผลการค้นหา

หากคุณจริงจังกับการปรับปรุงประสิทธิภาพ SEO ของเว็บไซต์ของคุณ การวิจัยคู่แข่ง SEO ก็เป็นส่วนสำคัญของกระบวนการนี้ ด้วยการใช้เวลาวิเคราะห์คู่แข่ง คุณสามารถเรียนรู้จากความสำเร็จของพวกเขาและหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดของพวกเขาได้ นี่จะทำให้คุณมีโอกาสมากขึ้นในการบรรลุเป้าหมาย SEO ของคุณ

5 ปัจจัยสำคัญ รับประกันความสำเร็จของ SEO

ธุรกิจหลายเจ้าในปัจจุบันเลือกพึ่งพา SEO ในการทำการตลาดออนไลน์เพื่อประชาสัมพันธ์สินค้าและบริการของตนเอง และยังช่วยสร้างความได้เปรียบทางการตลาดเพื่อการแข่งขันกับคู่แข่งอย่างมีประสิทธิภาพ แต่ใช่ว่าการทำ SEO จะประสบผลสำเร็จและได้รับการตอบรับจากลูกค้าที่ดีทุกครั้ง ผู้ประกอบการคงสงสัยว่าปัจจัยอะไรบ้างที่ควบคุมความสำเร็จของการทำ SEO ซึ่งวันนี้เราจะพาไปหาคำตอบกัน

  1. คุณภาพของเนื้อหา

การสร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพและมีการอ้างอิงที่น่าเชื่อถือเป็นพื้นฐานของการทำ SEO ให้สำเร็จอย่างยั่งยืน เป็นการสร้างภาพลักษณ์และความไว้วางใจจากลูกค้า จึงทำให้มีความมั่นคงในตลาดธุรกิจที่ผันผวนมากขึ้น โดยเนื้อหาที่ดีควรเป็นความจริง ไม่ขายฝัน ไม่โฆษณาเกินจริง หรือหลอกลวงลูกค้า นอกจากนั้นคุณภาพลิงค์ที่เชื่อมต่อมายังเว็บไซต์ของธุรกิจจะต้องน่าเชื่อถือด้วย

  1. การหาข้อมูลการลงมือทำ

การรู้เขารู้เราจะทำให้การตลาดออนไลน์มีโอกาสให้ผลตอนแทนที่ดี ดังนั้นการหาข้อมูลในการทำ SEO อย่างละเอียดลงลึก และทำความเข้าใจกลไกการทำงานของ SEO อย่างถี่ถ้วนจะช่วยประกันความสำเร็จของ SEO ได้ดี ซึ่งการหาข้อมูลสามารถทำได้ทั้งจากการศึกษาด้วยตัวเองและปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการทำ SEO ที่มีประสบการณ์มากกว่าเรา

  1. การใช้คีย์เวิร์ดที่เหมาะสม

การเลือกคีย์เวิร์ดที่เหมาะสมเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้การทำ SEO ประสบความสำเร็จ โดยคีย์เวิร์ดที่ดีควรมีความเกี่ยวข้องกับเนื้อหาและสามารถเชื่อมโยงกับธุรกิจได้อย่างสมเหตุสมผล นอกจากนั้นยังควรเป็นคำมีปริมาณการค้นหาบนโลกออนไลน์ที่ดี เพื่อทำให้การทำ SEO ดูน่าสนใจและมียอดการเข้าถึงสูง

  1. การตอบปัญหาของลูกค้า

ในปัจจุบันเมื่อผู้บริโภคเกิดคำถามหรือปัญหา และต้องการพึ่งพาสินค้าบริการต่าง ๆ จะมีการสืบค้นบนโลกออนไลน์เพื่อหาข้อมูลประกอบการตัดสินใจ ดังนั้นเนื้อหาในการทำ SEO จึงควรเป็นสิ่งที่สามารถตอบโจทย์ปัญหาของลูกค้าได้อย่างตรงประเด็นและชัดเจน เพื่อแนะนำและโน้มน้าวให้ผู้บริโภคตัดสินใจตกลงรับข้อเสนอของผู้ผลิตจนสามารถปิดการขายได้อย่างรวดเร็ว

  1. สื่อที่หลากหลาย

เนื้อหาที่ดีถ้าไม่ถูกนำเสนออย่างน่าสนใจและดึงดูดใจอาจจะถูกมองข้ามไปอย่างน่าเสียดาย ดังนั้นการทำ SEO ต้องมีการออกแบบและวางแผนให้น่าสนใจโดยการใช้สื่อที่หลากหลายและเหมาะสมกับสิ่งที่ต้องการนำเสนอ โดยอาจมีการอธิบายอย่างชัดเจนด้วยข้อความ มีการใส่รูป  อินโฟกราฟิกหรือวิดีโอเพื่อให้เห็นภาพของสินค้าและบริการมากขึ้น

จะเห็นว่าการทำ SEO ถูกควบคุมด้วยหลากหลายปัจจัยซึ่งล้วนแต่สร้างผลกระทบต่อผลลัพธ์ทางการตลาดที่แตกต่างกันในหลายแง่มุม และบางปัจจัยอาจเป็นเรื่องที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อน หากเจ้าของธุรกิจเข้าใจและพยายามออกแบบกลยุทธ์การทำ SEO ของตัวเองในอนาคตให้สอดคล้องกับปัจจัยเหล่านี้ จะสามารถเพิ่มโอกาสเข้าถึงลูกค้าและเพิ่มอัตราความสำเร็จทางธุรกิจได้ดีขึ้นแน่นอน

ทำ SEO แล้ว ทำไมยอดขายไม่เพิ่ม

ร้านค้าและธุรกิจมากมายหลายประเภทเข้าสู่โลกออนไลน์กันทั้งนั้น ในยุคนี้ทำการตลาดออนไลน์มีการแข่งขันกันสูง แต่ก็มีทางเลือกให้ทำได้ในหลายรูปแบบทั้งด้วยวิธีธรรมชาติ (Organic Marketing) และแบบเสียค่าใช้จ่ายในการโฆษณาเพื่อให้เข้าถึงลูกค้าได้ง่ายและรวดเร็วกว่า

สำหรับเว็บไซต์ของธุรกิจที่ใช้วิธี SEO (Search Engine Optimization) คือ การปรับปรุง พัฒนาเว็บไซต์ให้ถูกใจระบบ Search Engine โดยเฉพาะ Google ที่คนนิยมใช้มาก เพื่อที่จะได้ขึ้นเป็นอันดับต้น ๆ ในหน้าแรกของการค้นหาด้วย Keyword เพราะนั่นเท่ากับว่าเป็นการเพิ่มโอกาสการเข้าถึงลูกค้า และเป็นไปได้สูงที่ยอดขายจะเพิ่มขึ้น แต่หลายธุรกิจที่พยายามดันเว็บไซต์ของตัวเองให้ขึ้นไปอยู่หน้าแรกอันดับบน ๆ ให้คนได้เห็นก่อน แต่กลับไม่ช่วยเพิ่มยอดขายอย่างที่ตั้งใจไว้ ซึ่งอาจจะมีปัจจัยพื้นฐานที่น่าสนใจพวกนี้

หน้าตา รูปแบบ โครงสร้าง ของเว็บไซต์มีความน่าสนใจ ดึงดูด ให้ผู้เข้าชมอยู่กับเว็บไซต์เราได้นานหรือเปล่า การค้นหาหรือใช้งานภายในเว็บไซต์ยุ่งยากเกินไปจนทำให้หงุดหงิดไหม เพราะนี่ถือเป็น First Impression ในการเข้าถึงเว็บไซต์ธุรกิจเลยทีเดียว การใช้สี รูปแบบตัวอักษร การวางโครงสร้างให้ดูง่าย สบายตาก็เป็นส่วนสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม

นอกจากนี้ ด้านตัวสินค้าและบริการเองก็ต้องมีความน่าเชื่อถือ เพราะในโลกออนไลน์ลูกค้าจะได้แค่เห็นควบคู่กับการได้ยินไม่สามารถสัมผัสหรือหยิบจับได้ เพราะฉะนั้นทางเลือกที่ดีของเว็บไซต์คือใช้รูปและวิดีโอเข้ามาช่วยในการสื่อสารระหว่างธุรกิจกับลูกค้า ที่สำคัญต้องออกแบบให้มีพลังของคอนเทนต์เพิ่มความน่าเชื่อถือให้ได้มากที่สุด นอกจากนี้ถ้าเว็บไซต์มีความน่าเชื่อถือก็มีโอกาสที่คนจะนำไปใช้อ้างอิงและใส่ลิงก์เว็บไซต์เราไปในที่ต่าง ๆ ถือเป็นการช่วยประชาสัมพันธ์ธุรกิจให้เราอีกช่องทางด้วย

ด้านภาษาที่ใช้ ก็ต้องเหมาะกับกลุ่มลูกค้า ภาษานอกจากมีหลายระดับ แล้วยังมีหลาย Generation อีกด้วย เป็นเรื่องที่ต้องใส่ใจว่าจะทำเว็บไซต์ใด ๆ ต้องเลือกภาษาให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าในสินค้าและบริการของเรา เพื่อง่ายต่อการตัดสินใจซื้อ

ความเร็วและเสถียรของการเปิดหน้าเว็บไซต์ เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องใกล้ตัวมาก ๆ จนได้รับการมองข้าม ถึงแม้เว็บไซต์เราจะอยู่ให้ลูกค้าเห็นก่อนเป็นอันดับแรก ๆ ก็จริง แต่ถ้าลูกค้าเลือกเข้าไปแล้วนานกว่าจะโหลดเปิดหน้าเว็บไซต์ขึ้นมาได้ โอกาสที่จะเปลี่ยนใจไปสู่เว็บไซต์อื่นเป็นไปได้สูง เท่ากับเว็บไซต์เราได้เสียโอกาสทางธุรกิจไปอย่างน่าเสียดาย

การแข่งขันที่เข้มข้นและรวดเร็วบนโลกตลาดออนไลน์ทำให้ทุกธุรกิจต้องพร้อมปรับตัว เปลี่ยนแปลง และพัฒนาตลอดเวลาเพื่อให้ทันต่อความต้องการของผู้บริโภคที่ชอบความสะดวก สบาย และรวดเร็ว พร้อมจ่ายถ้าถูกใจ ถึงแม้จะทำการตลาดแบบ SEO ที่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายกับการทำโฆษณาตรงนี้ แต่ตัวเว็บไซต์ต้องมีการลงทุนด้านต่าง ๆ โดยไม่ละเลยเรื่องรายละเอียดเพื่อคุณภาพที่ดี สร้างความประทับใจให้กับลูกค้าทั้งเก่า-ใหม่ ให้กลายเป็นลูกค้าประจำได้

SEO ช่วยเพิ่มยอดขายให้ธุรกิจของคุณได้อย่างไร อยากรู้ต้องอ่าน!

สำหรับเจ้าของธุรกิจ แน่นอนว่าความต้องการอย่างหนึ่งที่เหมือนกันไม่ว่าจะเป็นธุรกิจประเภทใดก็ตาม นั่นคือทำให้มีคนรู้จักธุรกิจของเรามากขึ้น เพราะนั่นหมายถึงโอกาสที่จะได้ลูกค้ามากขึ้น หนึ่งในวิธีที่ได้รับความนิยมก็คือการลงโฆษณา แต่สำหรับเจ้าของธุรกิจที่มีเว็บไซต์เป็นของตัวเอง วิธีหนึ่งซึ่งได้ผลมากและอาจดีกว่าการลงโฆษณา คือการทำ SEO

แล้ววิธีนี้คืออะไร เพิ่มยอดขายได้อย่างไร เราจะมาหาคำตอบไปพร้อม ๆ กัน

การทำ SEO คือการทำให้เว็บไซต์มาปรากฏอยู่บนหน้าแรกของผลการค้นหาใน Google นั่นแสดงว่าวิธีนี้อ้างอิงกับคีย์เวิร์ด (Keyword) ที่ใช้ในการค้นหา เมื่อผู้เข้าเว็บไซต์กูเกิลพิมพ์คำค้นหาที่ตรงกับประเภทธุรกิจของเรา เว็บไซต์ของเราก็จะขึ้นมาอยู่บนหน้าแรก การที่เว็บไซต์มาอยู่บนหน้าแรกของผลการค้นหา มีผลทำให้ผู้ที่ค้นหารู้สึกว่านี่คือเว็บไซต์ที่น่าเชื่อถือหรือเป็นที่ยอมรับ และส่วนใหญ่ผู้คนก็จะเข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์ในหน้าแรก มากกว่าที่จะค้นหาในหน้าต่อไป

แน่นอนว่าการทำ SEO เป็นขั้นตอนประชาสัมพันธ์เว็บไซต์ที่ต้องลงทุน เพราะต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญ แม้ว่าจะต้องลงทุนเช่นเดียวกับการลงโฆษณา แต่ผลที่ได้นั้นคุ้มกว่ามาก ส่วนจะคุ้มกว่ายังไง ไปดูกันต่อได้เลย

สิ่งที่เห็นได้ชัดมากที่สุดเมื่อเว็บไซต์ของเราขึ้นไปอยู่ในหน้าแรกของผลการค้นหา ก็คือมีผู้เข้าชมเว็บไซต์มากขึ้น แน่นอนว่าคนที่ค้นหาจนมาเจอเว็บไซต์ของเรา ต้องมีพื้นฐานมาจากการที่พวกเขาต้องการสินค้าหรือบริการของเรา เมื่อพวกเขาเห็นเว็บไซต์ของเราก่อน โอกาสที่จะกลายมาเป็นลูกค้าก็มีมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเราทำเว็บไซต์ให้น่าสนใจ ดึงดูดใจคนเหล่านั้นได้ พวกเขาก็จะไม่มองหาสินค้าหรือบริการจากรายอื่น ทำให้การตัดสินใจของลูกค้าง่ายขึ้น ส่งผลให้ยอดขายเพิ่มขึ้น

ผลที่ดีมาก ๆ อีกประการของการทำ SEO คือเราสามารถมองเห็นข้อมูลทางสถิติได้ เช่น เรารู้ได้เลยว่าหลังจากทำแล้ว มีผู้เข้าชมเว็บไซต์ของเราจำนวนเท่าไหร่ ซึ่งถ้าเทียบดูแล้ว จะเห็นได้เลยว่าก่อนทำและหลังทำ จำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ที่สำคัญคือเรายังนำตัวเลขนั้นมาต่อยอดได้ โดยพิจารณาว่าจากผู้ที่เข้าชม มีกี่คนที่หันมาเป็นลูกค้า ถ้าลูกค้าเพิ่มขึ้นในอัตราที่เรายังไม่พอใจ เราก็สามารถปรับปรุงหน้าเว็บไซต์หรือพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้ามากขึ้นได้

สุดท้าย เมื่อเรามีการทำ SEO ที่ดี แปลว่ามีคนรู้จักเว็บไซต์ของเราเป็นจำนวนมาก ทำให้ขยายฐานลูกค้าได้มากขึ้น เมื่อรวมเข้ากับการมีสินค้าและบริการที่ดี ในที่สุดลูกค้าก็จะกลับมาใช้บริการซ้ำ และยิ่งไปกว่านั้น ลูกค้ายังบอกต่อ ๆ กันไปอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นการพูดแบบปากต่อปาก หรือการแชร์เว็บไซต์ของเราไปในโซเชียลมีเดีย ทำให้ฐานลูกค้าขยายออกไปได้ไม่รู้จบ ในที่สุดผลที่เห็นชัดที่สุดก็คือยอดขายที่เพิ่มขึ้น ทั้งหมดนี้จะไม่เกิดขึ้นเลยหากคุณไม่เริ่มต้นทำ SEO

อัปเดตเทรนด์ Facebook Fanpage SEO 2021

Facebook เป็นสื่อ Social media ที่มีจำนวนผู้ใช้งานหลายล้านคนทั่วโลก ทำให้ Facebook Fanpage จึงเปรียบเสมือนหน้าร้านที่มีผู้คนเดินผ่านอยู่เสมอ แต่การสร้าง Fanpage เฉย ๆ โดยไม่นำเทคนิค SEO หรือ Search engine optimization (เครื่องมืออัปเดตอันดับบน Search Engine เช่น Google, Bing หรือ Yahoo เป็นต้น) ทำให้หลายคนพลาดโอกาสในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการ โดยวิธีการทำ SEO บน Facebook Fanpage ในปี 2021 มีวิธีการ ดังนี้

หาคีย์เวิร์ด (คำค้นหา) ทองคำให้เจอ สำหรับมือใหม่ที่อยากสร้างรายได้ด้วยการขายของ หรือบริการบน Facebook Fanpage มักจะทำการเปิดเพจโดยไม่ได้หาคีย์เวิร์ดทองคำเตรียมเอาไว้ ซึ่งความสำคัญของการหาคีย์เวิร์ดทองคำที่มีจำนวนกลุ่มเป้าหมายค้นหาเยอะและมีการแข่งขันน้อย ย่อมทำให้ Facepage ติดอับดับบน Search Engine ได้ดีกว่า โดยเครื่องมือที่ใช้หาคีย์เวิร์ดทองคำ เรียกว่า Keyword Research ที่มีวิธีการทำงานง่าย ๆ เพียงนำคำที่ต้องการมาใส่ใน Keyword Research ก็จะทำการประมวลผลจำนวนคนค้นหาและความยากง่ายในการแข่งขันขึ้นมา โดยเว็บไซต์ Keyword Research ที่ได้รับความนิยม ได้แก่ Keyword Planner, ubersuggest และ Keyword Tool เป็นต้น

ตั้งหรือเปลี่ยนชื่อเพจให้หาง่าย เมื่อเราได้คีย์เวิร์ดที่ต้องการ นำคีย์เวิร์ดที่ได้มาใช้ในการตั้งชื่อและ URL เพราะจะช่วยให้ Search Engine แสดงผล Facebook Fanpage ของเราในหน้าแรกเมื่อมีกลุ่มเป้าหมายกดค้นหาด้วยคีย์เวิร์ดที่เราเลือกไว้ ทั้งนี้ความยาวในการตั้งชื่อ Facebook Fanpage ที่ดีไม่ควรเกินกว่า 50 ตัวอักษร

คำอธิบาย Fanpage สิ่งจำเป็นที่หลายคนมองข้าม คำอธิบาย Facebook Fanpage ไม่ได้มีไว้เพียงเพื่อให้ผู้ที่แวะเวียนเข้ามาในเพจทราบว่าเป็นเพจเกี่ยวกับอะไรเท่านั้น แต่การเขียนคำอธิบายที่แทรกด้วยคีย์เวิร์ดที่เราใช้ เป็นสิ่งที่ช่วยเพิ่มเปอร์เซ็นต์ในการทำอันดับบน Search Engine ด้วย และยังเป็นการสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้ใช้ด้วย

เปลี่ยนชื่อไฟล์ภาพเพิ่มความปัง เทคนิคเปลี่ยนชื่อไฟล์ภาพให้มีคีย์เวิร์ดเป็นสิ่งที่ช่วยเพิ่มโอกาสในการติดอับดับรูปภาพบน Search Engine นอกจากนี้ควรให้ความสำคัญกับการเขียนคำอธิบายภาพ (Alt) ใน Fanpage โดยวิธีการเปลี่ยนคำอธิบายภาพใน Fanpage สามารถทำได้ง่าย ๆ ด้วยการกดเข้าไป Edit และเลือกเปลี่ยนข้อความกำกับภาพ (Edit Alt text) โดยแทรกคีย์เวิร์ดเข้าไป เพราะจะเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำ SEO บน Fanpage ด้วย

อัปเดตคอนเทนต์สม่ำเสมอ การทำให้ Facebook Fanpage ติดอันดับบน Search Engine ควรมีการอัปเดตบทความหรือคอนเทนต์ลงใน Fanpage อย่างสม่ำเสมอ โดยบทความที่นำมาโพสต์สามารถใช้เป็นบทความสั้นความยาวประมาณ 300 – 500 คำและมีคีย์เวิร์ดแทรกอยู่ในบทความประมาณ 3 – 5 ครั้ง

Facebook Fanpage เป็นหนึ่งในช่องทางสร้างรายได้จากการเขียนบทความและขายสินค้า/บริการที่มีมีวิธีการใช้งานง่าย ดังนั้นผู้ที่ต้องการประสบความสำเร็จในการทำ Facebook Fanpage จึงไม่ควรมองข้ามความสำคัญในการทำ Facebook Fanpage SEO

เริ่มทำอันดับเว็บไซต์ ใช้เวลานานเท่าไรจึงเห็นผล

การจำหน่ายสินค้าหรือบริการผ่านเว็บไซต์เป็นช่องทางหนึ่งที่ทำให้เข้าถึงลูกค้าสะดวกรวดเร็ว เมื่อเราสร้างเว็บไซต์ขึ้นมาแล้ว ต้องการให้มีผู้เข้าชมจำนวนมาก ต้องโปรโมทเว็บด้วยวิธีการต่างๆ แน่นอนว่าการซื้อโฆษณาสื่อต่างๆ เป็นการตลาดที่ทำกันมานาน มีค่าใช้จ่ายสูง หากเวลานี้ยังไม่มีงบประมาณสำหรับการลงทุนด้านโฆษณาผ่านสื่อต่างๆ มากนัก อาจต้องใช้ตัวเลือกราคาประหยัดอย่างการทำ SEO (Search Engine Optimization) คือเขียนบทความสร้างสรรค์ในการโปรโมทเว็บเพื่อให้ง่ายต่อการค้นหาทางเสิร์จเอนจิน เนื้อหาของบทความกระชับ ไม่สั้นหรือยาวเกินไป การสร้างสรรค์และลีลาการเขียนน่าสนใจ แต่ต้องเข้าใจง่าย สามารถสื่อสารถึงสินค้าและบริการได้ถูกต้องชัดเจน พร้อมกับการใส่ Keyword เข้าไปอย่างกลมกลืน ซึ่งจะทำให้เว็บของคุณได้รับความสนใจ มีผู้เข้าชมเพิ่มขึ้น ซึ่งมีผลต่อการจัดอันดับบนกูเกิล ทำให้เว็บปรากฏขึ้นมาในหน้าแรกๆ ไม่เพียงเข้าถึงลูกค้ารวดเร็วขึ้นเท่านั้น ยังสร้างความประทับใจได้ดี โดยไม่ต้องสิ้นเปลืองจ่ายค่าโฆษณาในเวลาที่สถานะการเงินของคุณยังไม่พร้อม

บทความที่ดีจะช่วยให้การทำ SEO เจาะกลุ่มเป้าหมายได้ตรงจุด โอกาสที่จะซื้อมีมากขึ้น และประหยัดเงินต้นทุนได้มาก หากเปรียบเทียบกับการลงโฆษณาผ่านสื่อต่างๆ ซึ่งมีค่าใช้จ่ายสูง และยังไม่เฉพาะเจาะจงไปตรงกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการอีกด้วย หากถามถึงระยะเวลา กว่าจะเห็นผลคาดว่ารอประมาณ 4-10 เดือนกว่าจะเห็นผลลัพธ์ทางธุรกิจ มีผู้เข้ามาเยี่ยมชมมากขึ้นและกลายมาเป็นลูกค้าในที่สุด การโปรโมทเว็บขายสินค้าและบริการอาจต้องใช้วิธีการอื่นๆ เข้ามาเสริมด้วย เช่น จัดโปรโมชั่นนาทีทองขายสินค้าราคาถูก มีของแถมให้ลูกค้าที่เข้ามาอุดหนุนในครั้งแรกและลูกค้าที่เข้ามาอุดหนุนเป็นประจำ

SEO Ranking Factors

ใช้บทความ ช่วยให้เว็บติดอันดับง่ายขึ้น

บทความทำ SEO เป็นวิธีประหยัดค่าใช้จ่ายในการทำโฆษณาในระยะยาว แต่เพราะการจัดอันดับขยับอยู่ตลอดเวลา จำเป็นต้องอัพเดทเว็บด้วยบทความที่ใหม่และทันสมัยอยู่เสมอ มีข้อมูลน่าสนใจและเป็นประโยชน์ต่อลูกค้าเป้าหมาย เชื่อมโยงเนื้อหาเข้ากับสินค้าและบริการอย่างแนบเนียน จะช่วยให้ผู้เข้าชมเว็บชื่นชอบและไว้วางใจ มีโอกาสปิดการขายได้เร็วกว่าคู่แข่งเว็บอื่นๆ

แม้จะทำคอนเทนต์ดีๆ เป็นตัวช่วยโปรโมทเว็บไซต์ไปแล้ว อย่าลืมว่าสิ่งที่ทำให้เห็นผลลัพธ์ดีที่สุดจริงๆ แล้วก็คือสินค้าและบริการของคุณเอง ว่ามีอะไรน่าสนใจและถูกใจลูกค้าบ้าง การทำ SEO เป็นเหมือนการ์ดเชิญให้คนเข้ามาเยี่ยมชมมากขึ้น พยายามเช็คอันดับของเว็บไซต์บ่อยๆ ยิ่งเว็บของคุณขยับไปอยู่ใกล้หน้าแรกๆ มากเท่าไรก็เหมือนกับการประกันความน่าเชื่อถือไปในตัว อันดับบนกูเกิลถือเป็นหน้าเป็นตาให้กับเว็บ สามารถใช้เป็นตัวรับประกันสินค้าและบริการที่มีคุณภาพได้อีกระดับหนึ่ง ทำให้เว็บไต่อันดับสูงขึ้นไปมากเท่าไร ยิ่งสร้างแรงดึงดูดให้คนเข้าชมเว็บไซต์มากขึ้นเท่านั้น รับประกันว่าเพิ่มยอดขายได้แน่นอน