ป้ายกำกับ: SEO

5 จุดเด่นของการทำ SEO เพราะอะไรเจ้าของธุรกิจจึงสนใจ

การทำการตลาดถือเป็นสิ่งสำคัญทำให้ธุรกิจเจริญเติบโต ท่านเจ้าของธุรกิจจึงต้องอาศัยเครื่องมือทำการตลาดเป็นตัวช่วยผลักดันยอดขาย และหนึ่งในเครื่องมือที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในยุคนี้ คือ เครื่องมือการตลาดที่เรียกว่า SEO หรือชื่อเต็ม Search Engine Optimization เครื่องมือการตลาดออนไลน์รูปแบบหนึ่ง มีวัตถุประสงค์เพื่อผลักดันเว็บไซต์ให้ติดหน้าแรกการค้นหา ยกตัวอย่างการที่เราจะทำให้เว็บบอลออนไลน์ของเราติดหน้าแรกก็เช่นกัน ข้อมูล รายละเอียดเกี่ยวทีมบอล สถิติ บอลต่อ บอลรอง รวมถึงยังมีจุดเด่นอื่น ๆ ที่ทำให้ท่านเจ้าของธุรกิจตันสินใจลงทุนกับเครื่องมือนี้

จุดเด่นของการทำ SEO ที่ทำให้เจ้าของธุรกิจสนใจ

– เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างตรงจุด

เรียกได้ว่าเป็นจุดเด่นอันดับแรกที่ต้องนึกถึงเลยก็ว่าได้ เพราะ SEO โดดเด่นเรื่องการเป็นเครื่องมือที่เจาะเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างดีเยี่ยม เมื่อกลุ่มเป้าหมายกดค้นหาคีย์เวิร์ดใน Search Engine ก็มีโอกาสเจอเว็บไซต์ของคุณได้ง่ายยิ่งขึ้น โดยเฉพาะหากท่านเจ้าของธุรกิจสามารผลักดันเว็บไซต์ให้ติดหน้าแรก โอกาสที่กลุ่มเป้าหมายจะมองเห็นคุณก็ง่ายขึ้นตามไปด้วย

– เพิ่มโอกาสเจอกลุ่มเป้าหมายใหม่

หากเป็นเมื่อก่อนนี้การค้นหากลุ่มเป้าใหม่ของธุรกิจอาจเป็นเรื่องยากสักนิดสำหรับนักการตลาด แต่ปัจจุบัน SEO สามารถทำให้ค้นเจอกลุ่มเป้าใหม่ ๆ ได้ง่ายขึ้น เพียงแค่คุณทำเว็บไซต์ให้ติดหน้าแรก กลุ่มเป้าหมายที่อาจไม่เคยรู้จักธุรกิจคุณมาก่อนอาจจะสนใจ คลิกเข้าสู่เว็บไซต์ และสร้างการจดจำได้ในที่สุด 

– เพิ่มความน่าเชื่อถือให้ธุรกิจ

นอกจากแบรนด์ต้องสร้างการจดจำแก่ลูกค้าแล้ว เพื่อความภักดีต่อธุรกิจในระยะยาวก็ควรสร้างความน่าเชื่อถือให้กับธุรกิจด้วย การผลักดันเว็บไซต์สู่หน้าแรกการค้นหาได้ คือวิธีหนึ่งในการสร้างความน่าเชื่อถือ เพราะการติดหน้าแรกการค้นหาสะท้อนให้เห็นว่าธุรกิจวางแผนทำ SEO มาอย่างดีและออกแบบเว็บไซต์ให้เป็นไปตามมาตรฐานการให้คะแนนของ Search Engine จนก้าวสู่อันดับดี ๆ ของการค้นหาได้

– กระตุ้นพฤติกรรมการซื้อ

ไม่เพียงสร้างความน่าเชื่อถือหรือสร้างการจดจำ SEO ยังช่วยกระตุ้นพฤติกรรมการซื้อสินค้าและบริการ เพราะสามารถโปรโมทธุรกิจได้ตลอดเวลา กลุ่มเป้าหมายมีโอกาสเห็นเว็บไซต์คุณได้ซ้ำ ๆ เพิ่มโอกาสตัดสินใจซื้อสินค้าและบริการได้อย่างดีเยี่ยม

– ประหยัดค่าใช้จ่าย

SEO มีจุดเด่นมากมายแต่รู้หรือไม่ว่ากลับใช้งบประมาณน้อยกว่าการทำการตลาดประเภทอื่น เช่น การซื้อโฆษณาโทรทัศน์ การจัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาด ฯลฯ เพราะหัวใจหลักของการทำ SEO คือการปรับแต่งเว็บไซต์ให้ได้มาตรฐานตามเกณฑ์ให้คะแนนของ Search Engine ซึ่งหากทำได้ เชื่อว่าคุ้มค่ากับการลงทุนอย่างแน่นอน

เรียกได้ว่าการทำ SEO มาพร้อมข้อดีและจุดเด่นหลายอย่างที่บางครั้งเครื่องมือการตลาดประเภทอื่น ๆ ไม่สามารถทำได้ โดยเฉพาะการสร้างความเชื่อมั่น ความมั่นใจในสินค้า และเจาะถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างลึกซึ้ง ที่สำคัญยังสอดคล้องกับพฤติกรรมผู้บริโภคในยุคปัจจุบันที่ก่อนตัดสินใจซื้อสินค้าและบริการอะไรต้องค้นหาข้อมูลจาก Search Engine ก่อนเสมอ จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจว่าเพราะอะไร SEO จึงเป็นเครื่องมือการตลาดออนไลน์ที่น่าจับตามองเป็นอย่างยิ่ง 

เหตุผลว่าทำไมธุรกิจออนไลน์ถึงควรเลิกยิง Ads แล้วหันมาทำ SEO แทน

หนึ่งทางเลือกในการเพิ่มโอกาสการเข้าถึงลูกค้าให้มากขึ้นของธุรกิจก็คือการยิง Ads โฆษณาบนแพลตฟอร์มออนไลน์ต่าง ๆ โดยเฉพาะพวกโซเชียลมีเดีย แล้วหวังว่าธุรกิจจะมีคนหันมาสนใจสินค้าและตัดสินใจซื้อสินค้ามากขึ้น รวมไปถึงการจ่ายให้กับ Google เพื่อสร้างทางลัดให้ธุรกิจสามารถขึ้นมาอยู่บนอันดับต้น ๆ ของการค้นหา

ซึ่งนี่ดูเหมือนจะเป็นเรื่องดีที่สะดวก ง่าย และเห็นผลทันที แต่รู้หรือไม่ว่าการได้มาอยู่ในอันดับต้น ๆ ของการค้นหา ไม่สามารถการันตีผลสำเร็จของธุรกิจได้ และต่อไปนี้ก็คือเหตุผลว่าทำไมการทำ SEO จึงเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจกว่า

1. เสียค่าใช้จ่ายสูง อย่างที่รู้กันดีว่าการยิง Ads มีค่าใช้จ่ายที่สูงไม่น้อย ซึ่งนั่นก็คือต้นทุนของธุรกิจ และถ้าธุรกิจต้องพึ่งการสร้างรายได้ผ่านการโหมโฆษณาหนัก ๆ จะทำให้ธุรกิจต้องแบกต้นทุนการตลาดสูง กำไรก็จะลดลง ยิ่งทำมากยิ่งเสี่ยงที่จะขาดทุนมากเพราะค่าใช้จ่ายจะสูงขึ้นเรื่อย ๆ

2. คนมักไม่ชอบโฆษณา เราเชื่อว่าทุกคนถ้านั่งดูอะไรอยู่แล้วมีโฆษณาโผล่ขึ้นมา ถ้ากด Skip ได้ ก็พร้อมจะกดทันที นั่นรวมไปถึงอันดับการค้นหาบน Google ด้วย ที่หลายคนมักเลือกมองข้ามธุรกิจที่ซื้อโฆษณา แต่จะเลือกไปคลิกเอาหน้าเว็บที่ได้อันดับมาแบบ Organic มากกว่า

3. การได้ลูกค้าที่ตรงกลุ่ม ส่วนใหญ่เวลายิง Ads บนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย ธุรกิจจะต้องเลือกว่าจะนำเสนอสินค้าไปยังกลุ่มเป้าหมายใดที่เป็นกลุ่มเป้าหมายจากการวิเคราะห์ตลาด แต่การทำ SEO จะช่วยให้ธุรกิจได้เข้าถึงลูกค้าตัวจริงมากกว่า จากการเลือกเข้ามาอ่านคอนเทนต์ SEO บนเว็บไซต์

4. ความสำเร็จในระยะยาว ข้อเสียอย่างหนึ่งของการจ่ายเงินเพื่อซื้อ Ranking หรือยิง Ads ให้คนเห็นธุรกิจคือถ้าหยุดจ่ายทุกอย่างก็จะจบ แต่ถ้าเป็นการทำ SEO จะเป็นความสำเร็จในระยะยาว เพียงแค่ทำอย่างต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ เป็นความสำเร็จระยะยาวที่คุ้มค่า

5. โอกาสซื้อที่มากกว่า อย่างที่บอกว่าคนมักกดข้ามโฆษณาและคิดว่าการจ่ายเงินเพื่อขึ้นมาอยู่บนอันดับต้น ๆ ของ Google เป็นอะไรที่ไม่น่าสนใจ แต่ถ้าเป็นเว็บไซต์ที่มีการทำคอนเทนต์ SEO คุณภาพ จะมีแนวโน้มทำให้เกิดการวางใจและเป็นปฏิสัมพันธ์ที่ดีกว่า และการสื่อสารเนื้อหาที่ลูกค้าสนใจก็จะกระตุ้นให้เกิดการตัดสินใจซื้อได้มากกว่าด้วย

เพราะการเลือกทำ SEO ด้วยการใช้บทความคุณภาพ จะช่วยสร้างความยั่งยืนให้กับการทำการตลาดของธุรกิจออนไลน์ได้เห็นผลมากกว่า ถึงแม้จะเป็นวิธีที่ค่อนข้างใช้เวลาสักหน่อย แต่รับรองเลยว่าในระยะยาวแล้วคุ้มกว่าการเสียเงินไปกับการจ้างยิง Ads แน่นอน

อยากปัง ต้องรู้ SEO คืออะไร พร้อมแชร์เคล็ดลับในการทำ SEO ให้ดังกว่าเดิม

ปัจจุบันอินเทอร์เน็ตเข้ามามีส่วนร่วมในชีวิตประจำวันมากขึ้น ไม่ว่าจะไปเที่ยวที่ไหน เดินทางอย่างไร ร้านอาหารไหนอร่อย รู้หมด พร้อมรีวิวทั้งในส่วนของบทความหรือแม้แต่วีดีโอ ล้วนใช้ Search Engine ในการค้นหาทั้งนั้น โดยเฉพาะ Google หนึ่งใน Search Engine ที่ได้รับความนิยมจากผู้ใช้งานมากที่สุดในโลก

จากสถิติของ Internet live stats ในปี 2020 พบว่ามีคนใช้ Google ในการค้นหามากกว่า 3.5 พันล้านครั้ง จนมีคำพูดติดปากของใครหลาย ๆ คนว่า นึกอะไรไม่ออก ให้ถามอากู๋ (Google) รับรองได้ว่าจะพบกับเรื่องราวทุกอย่างที่อยากค้นหาอย่างแน่นอน

SEO เกี่ยวข้องอย่างไร

SEO ย่อมาจาก Search Engine Optimization ซึ่งก็คือการปรับแต่งเว็บไซต์ เพจ คลิปวิดีโอให้ตรงตามข้อกำหนดของ Search Engine นั้น ๆ เพื่อให้สามารถค้นหาเพจ เว็บไซต์หรือคลิปวิดีโอให้ติดลำดับต้น ๆ ของการค้นหาได้ ส่งผลให้เว็บไซต์ เพจหรือคลิปวิดีโอได้รับการเยี่ยมชมเพิ่มมากขึ้นและเป็นโอกาสทางธุรกิจบนโลกออนไลน์ที่จะทำให้คุณประสบความสำเร็จได้

เทคนิคในการทำ SEO

ซึ่งเทคนิคและวิธีการทำ SEO ก็ไม่ยากเกินไปและไม่ง่ายเกินไป หากแต่ต้องเข้าใจถึงกระบวนการและวิธีคิดของ AI ของ Search Engine รวมถึง กฎ ระเบียบและข้อห้ามต่าง ๆ ที่ Search Engine กำหนดขึ้นมา เพียงเราแต่ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด รับรองได้เลยว่าโอกาสประสบความสำเร็จมีสูงมาก โดยวันนี้จะมาแนะนำเคล็ดลับให้สามารถทำ SEO ด้วยตนเองง่าย ๆ ดังนี้

KEY WORD

เชื่อได้ว่าทุกคนเวลาที่ต้องการจะค้นหาอะไร จะต้องใส่ คำ ที่ต้องการค้นหา ซึ่งเราจะเรียกว่า Key word เช่น หากคุณทำเว็บไซต์เกี่ยวกับ ปุ๋ย คีย์เวิร์ดที่สำคัญนอกจากคำว่า ปุ๋ยแล้ว อาจต้องมีคำใกล้เคียง เช่น ธาตุอาหารพืช, ธาตุอาหารหลัก, ไนโตรเจน, ฟอสฟอรัส, โพแทสเซียม, ปุ๋ยอินทรีย์, ปุ๋ยเคมี หรือ NPK เป็นต้น โดยคีย์เวิร์ดดังกล่าวจะต้องผ่านการวิจัยและเป็นที่ยอมรับแล้วว่ามีอัตราการค้นหาในระดับหนึ่ง

สร้างคอนเทนต์ที่มีคุณภาพ

ในเว็บไซต์ เพจหรือแม้แต่คลิปวิดีโอ จำเป็นจะต้องได้รับการอัปเดตใหม่อยู่เสมอ ยิ่งถ้าเป็นคอนเทนต์ที่ทำใหม่ มีคุณภาพ ไม่มีการคัดลอก มีความน่าสนใจก็จะช่วยให้ได้รับความนิยมมากขึ้น ซึ่งการสร้างคอนเทนต์ก็จะมีเทคนิคและวิธีการทำที่แยกย่อยไปอีก

รองรับทุกการใช้งาน

ปัจจุบันไม่เพียงแค่คอมพิวเตอร์เพียงอย่างเดียวเท่านั้นที่เข้าใช่งานอินเทอร์เน็ตได้ แต่ยังมีทั้งมือถือสมาร์ทโฟน แท็ปเลต สมาร์ททีวีและอุปกรณ์อื่น ๆ ดังนั้น เว็บไซต์ เพจหรือคลิปวิดีโอที่ทำขึ้นต้องรองรับการใช้งานอุปกรณ์เหล่านี้ด้วย โดยเฉพาะอุปกรณ์สมาร์ทโฟนที่มีอัตราการเติบโตเพิ่มมากขึ้นในปัจจุบัน

ใช้ Social ให้เป็นประโยชน์

การทำคอนเทนต์ไม่จำกัดเพียงแค่เว็บไซต์เท่านั้น หากแต่ยังสามารถทำในในส่วนของโซเชียลมีเดียในช่องทางต่าง ๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็น Facebook, Youtube หรือ Tiktok ก็จะช่วยทำให้เราเป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้นและตรงเป้าหมายได้ดีกว่าที่อาศัยการทำคอนเทนต์เพียงช่องทางเดียว

สำหรับใครที่ต้องการให้เว็บไซต์ของตนเองเป็นที่รู้จักและเพิ่มยอดขายให้ปังกว่าเดิม ก็อย่าลืมศึกษาในส่วนของเทคนิคและวิธีการทำ SEO เพิ่มเติม บอกเลยยอดขายกระฉูดแถมฟรีอีกด้วย

AI google จะมา disrupt วงการ SEO จริงหรือ

นับว่าเป็นข่าวใหญ่แห่งปี 2022 ที่ google ได้เปิดตัวระบบอัลกอริทึมล่าสุดชื่อว่า “MUM” อันมีคุณลักษณะคล้ายกับมนุษย์เป็นอย่างมาก ซึ่ง AI ตัวนี้ได้ถูกสร้างเพื่อพัฒนาระบบการค้นหาของ Google ให้มีความแม่นยำยิ่งขึ้น ซึ่งแต่เดิมใช้งานด้วยระบบ BERT โดยระบบใหม่ “MUM” ได้ทำการ disrupt วงการ SEO อย่างไรเรามาดูกันเลยดีกว่า

ระบบการค้นหาที่ยอดเยี่ยมเกินไป

จากเดิมที่ผู้ใช้งานเว็บ search engine ไม่ว่าจะเป็น Yahoo Baidu หรือแม้แต่ Google ย่อมต้องใช้คีย์เวิร์ดในการค้นหาสิ่งที่ต้องการด้วยข้อความสั้นๆ เช่น ถ้าต้องการสืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ผู้ใช้งานอาจค้นหาด้วยข้อความว่า “คอมพิวเตอร์สเปคแรง” หรือจะย่อคำให้สั้นกว่านี้ก็ได้ แต่เมื่อค้นหาด้วยการใช้ข้อความเหมือนกับภาษาพูด AI รุ่นเก่าจะไม่สามารถประมวลผลและแสดงผลว่าไม่พบการค้นหา อย่างไรก็ตาม MUM ได้เข้ามามีบทบาทด้วยความสามารถในการอ่านข้อความยาวเหมือนภาษาพูด และประมวลผลตรงจุดนี้ได้อย่างแม่นยำ เช่น คำค้นหา “คอมรุ่นใหม่ 2022 อยากได้สเปคแบบ ram 16 CPU xxx ราคาไม่เกิน xxxx บาท ขายในกรุงเทพ” MUM จะแสดงผลการค้นหาด้วยสิ่งที่ใกล้เคียงของข้อความนี้ได้ แม้ผู้ใช้งานจะอ่านสิ่งที่ตัวเองเขียนมาไม่รู้เรื่องเลยก็ตาม

ฟีเจอร์ครอบคลุม

การเข้ามาของเทคโนโลยีระบบค้นหาด้วยเสียง ทำให้ google ได้พัฒนา MUM ให้สามารถแสดงผลของการค้นหาด้วยคำพูดได้ แม้ว่าผู้ใช้งานระบบเสิร์ชด้วยเสียงจะอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เสียงดังรบกวน และยังรองรับภาษาทั่วโลกได้มากถึง 75 ภาษา ทำให้ระบบการค้นหาครอบคลุมไปยังทุกภาษาที่เราต้องการสืบค้น ยิ่งไปกว่านั้นรูปภาพ วิดีโอและสิ่งต่างๆ ที่อยู่บนเว็บไซต์ยังถูกเชื่อมโยงไปยังการค้นหาด้วย ตัวอย่างเช่นเมื่อค้นหาด้วยข้อความ “คอมพิวเตอร์” เว็บไซต์ซึ่งมีองค์ประกอบของรูปภาพและวิดีโอที่เกี่ยวข้องกับสินค้า ย่อมได้รับการจัดอันดับหน้าแรกของ search engine แต่เดิมการติดอันดับจะอยู่บนพื้นฐานของการใช้คีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องในเว็บไซต์ แต่ครั้งนี้การยัดคีย์เวิร์ดเข้าไปให้มากที่สุดก็อาจไม่เวิร์คอีกต่อไป บทความที่มีคุณภาพดึงเวลาให้ผู้อ่านอยู่ในเว็บไซต์ได้นานจึงสำคัญกว่าการเน้นคีย์เวิร์ดแบบเดิม ๆ

ที่สำคัญ MUM ยังสามารถแปลภาษาอัตโนมัติทั้งบทความ แม้ว่าเราจะไม่ใช่เจ้าของภาษาก็อ่านรู้เรื่อง เช่น search เกี่ยวกับร้านอาหารในรัฐเท็กซัสประเทศสหรัฐอเมริกา แทนที่เราจะเจอเว็บใช้ภาษาอังกฤษ AI จะแปลบทความนั้นให้อยู่ในรูปแบบของภาษาไทยให้มากที่สุด ทำให้บทความของเจ้าของภาษาจะเจอคู่แข่งทั่วทุกมุมโลก และเมื่อเราต้องการหาคำตอบอะไรสักอย่างที่ต้องการในเว็บไซต์ แทนที่จะพิมพ์คีย์เวิร์ดในช่องค้นหา แต่การเข้ามาของ MUM ทำให้ผู้ใช้งานไม่ต้องพิมพ์อะไรทั้งสิ้น เพียงใช้รูปภาพในการอัปโหลดก็จะเจอวิธีการดีที่สุดสำหรับการแก้ไขปัญหาและได้สิ่งที่ต้องการเสิร์ช

ถ้าเป็นจริงตามที่ google กล่าวอ้าง วงการ SEO อาจต้องปรับตัวด้วยการใช้เนื้อหาของบทความซึ่งมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวและต้องใช้รูปภาพ วิดีโอ ระบบเสียงต่างๆ ที่สอดคล้องกับระบบ AI ใหม่นี้ด้วย แต่อย่างไรก็ดี google เพิ่งจะพัฒนา MUM ในระยะเริ่มต้นเท่านั้น ซึ่งต้องใช้เวลาอีกพักใหญ่ก่อนที่ออกมาโลดแล่นบนเว็บ Google จริง ๆ

เทคนิค (ลับ) โพสต์คอนเทนต์อย่างยั่งยืนด้วย Content Planner

Content คือ ปัจจัยสำคัญในการทำ Social Media Marketing (SMM) หรือกลยุทธ์การตลาดบนโซเชียลมีเดีย เพราะคอนเทนต์คือหัวใจสำคัญในการขยายโอกาสทางธุรกิจ เช่น ช่วยเพิ่มโอกาสการเข้าถึงเว็บไซต์, ลดค่าใช้จ่ายการทำโฆษณาและสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายของธุรกิจได้โดยตรง เป็นต้น 

Content Planner (การบริหารจัดการเนื้อหา) คือ แผนการสร้างคอนเทนต์ที่มีคุณภาพและประสิทธิภาพ เพื่อกระตุ้นการเข้าถึงเว็บไซต์หรือช่องทางการติดต่อ สร้างการมีส่วนร่วมของกลุ่มเป้าหมายและช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับธุรกิจ แม้ว่าจุดประสงค์ในการทำ Content Planner จะมีความคล้ายคลึงกับการทำ Content Strategy (กลยุทธ์ในการสร้างสรรค์เนื้อหา) แต่มีความแตกต่างกันตรงที่การจัดลำดับความสำคัญ โดยเราจะสามารถทำ Content Planner ได้ต่อเมื่อมีการวางกลยุทธ์การทำเนื้อหาให้มีความชัดเจนก่อน 

6 ขั้นตอนในการทำ Content Planner สร้างสรรค์คอนเทนต์อย่างยั่งยืน มีดังนี้

  1. วิเคราะห์กลุ่มเป้าหมายของตัวเอง เพื่อให้การทำคอนเทนต์ได้รับความสนใจจากกลุ่มเป้าหมายหลักของธุรกิจ ผู้ทำคอนเทนต์จึงควรรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวกับลูกค้าของตัวเองให้ได้มากที่สุด เพื่อนำมาวิเคราะห์เนื้อหาที่คิดว่ากลุ่มเป้าหมายน่าจะให้ความสนใจ
  2. ช่องทางเผยแพร่คอนเทนต์ การวิเคราะห์ช่องทางที่จะเผยแพร่คอนเทนต์จะช่วยให้ผู้ทำคอนเทนต์ทราบถึงการเลือกใช้รูปแบบคอนเทนต์ให้เหมาะช่องทางที่จะเผยแพร่ ซึ่งมีส่วนทำให้เกิดการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย ทั้งนี้เราไม่จำเป็นที่จะต้องทำการเผยแพร่คอนเทนต์ไปยังทุกแพลตฟอร์มหากเราทำการวิเคราะห์กลุ่มเป้าหมายมาเป็นอย่างดี 
  3. สร้างเนื้อหาที่มีประโยชน์ต่อกลุ่มเป้าหมาย การสร้างสรรค์คอนเทนต์ที่มีคุณภาพไม่เพียงแต่ให้ความสำคัญกับเรื่องการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย แต่ยังต้องเป็นคอนเทนต์ที่เกิดประโยชน์กับกลุ่มเป้าหมายมากที่สุด โดยวิธีลัดที่จะช่วยให้เรารู้ว่ากลุ่มเป้าหมายกำลังมีปัญหาอะไรสามารถทำได้ด้วยการนำ “คำค้นหาหลัก (Keyword)” ไปค้นหาบน Keyword Research Tools และดูว่ามีคำถามอะไรที่กลุ่มเป้าหมายค้นหาบน Search Engine บ้าง
  4. หาจุดเด่นในธุรกิจของตัวเองให้เจอ ตอบคำถามกับตัวเองให้ได้ว่าทำไมธุรกิจของเราจึงพิศษและแตกต่างจากธุรกิจประเภทเดียวกัน รวมถึงบอกให้ลูกค้าหรือกลุ่มเป้าหมายทราบถึงสิ่งดี ๆ ที่จะได้รับจากธุรกิจของคุณเท่านั้น
  5. รูปแบบคอนเทนต์ที่กลุ่มเป้าหมายชอบ ในปัจจุบันมีรูปแบบของเนื้อหาให้เลือกมากมาย บทความ, อีเมล, ภาพนิ่ง หรือวิดิโอ เป็นต้น วิธีการง่ายที่สุดในการวิเคราะห์รูปแบบเนื้อหาที่กลุ่มเป้าหมายชอบ คือ การสังเกตว่ากลุ่มเป้าหมายนิยมเนื้อหารูปแบบไหนมากที่สุดและเลือกทำรูปแบบเนื้อหานั้นซ้ำเพื่อเพิ่มการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย
  6. โพสต์คอนเทนต์ลงไป เมื่อทำการวิเคราะห์กลุ่มเป้าหมาย ช่องทางที่กลุ่มเป้าหมายใช้ในการหาข้อมูลและทราบถึงวิธีการสร้างสรรค์เนื้อหา รวมถึงรูปแบบคอนเทนต์ที่กลุ่มเป้าหมายชื่นชอบก็ถึงเวลาที่จะเผยแพร่คอนเทนต์ไปยังช่องทางที่ทำการศึกษามาเป็นอย่างดี

การเสียเวลาในการทำ Content Planner ไม่เพียงแต่จะช่วยประหยัดเวลาในการสร้างสรรค์เนื้อหาที่มีคุณภาพและตรงความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย แต่ยังเป็นแนวทางขยายโอกาสทางธุรกิจบนโลกออนไลน์ที่มีประสิทธิภาพ

ความแตกต่างระหว่าง SEO, SEM และ SMM

พฤติกรรมของผู้บริโภคในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงไปในรูปแบบต่างๆ ทำให้บางธุรกิจอยู่ได้ และบางธุรกิจอยู่ไม่ได้ และนั้นอาจเป็นสิ่งที่เราต้องคิด เพื่อเอากลับมามองตัวเอง คิดหาแนวทางให้ตนเองก้าวทันกับการแข่งขันในตลาดออนไลน์และแสดงตัวตนออกมาให้ผู้คนรับรู้ ให้ความสำคัญกับสิ่งเหล่านี้ลูกค้าหรือผู้คนที่สนใจจะมีส่วนร่วมไปกับเราทางออนไลน์อย่างไม่เคยทราบมาก่อน เรามาทำความรู้จักคำเหล่านี้ก่อน Search Engine Optimization, Search Engine Marketing และสุดท้าย Social Media Marketing สิ่งเหล่านี้จะทำให้ธุรกิจของเราโตขึ้น ถ้าเราใช้งานได้ถูกวิธีและถูกเวลา ดังนั้นแล้วเรามารู้จักกับความแตกต่างระหว่าง SEO, SEM และ SMM ว่าคืออะไร เกี่ยวข้องกับการตลาดออนไลน์ยังไง

SEO (Seach Engine Optimization) : อีกแนวทางที่ดีที่สุด เป็นตัวช่วยในการขับเคลื่อนธุรกิจ ทำให้เว็บไซต์และธุรกิจของเรามีตัวตน และอยู่ในอันดับต้นๆของการมองเห็น ผู้คนสามารถค้นพบผ่านเครื่องมือค้นหา Google, Yahoo และ Bing เทคนิคเหล่านี้ยังทำให้ Search Engine Result Page “SERP” ปรับปรุงดีขึ้นอีกด้วย โดย “SERP” มีอยู่ด้วยกัน 2 ประเภท ได้แก่ Seo On Page และ Seo Off Page รวมถึงหลักการทุกอย่างถูกต้องตามหน้าเว็บเพจทั้ง Tag, Title, โครงสร้าง URL, แท็ก Alt บนรูปภาพ ให้ลองนึกถึงการค้นหาบนหน้า Google เมื่อใส่คำที่ต้องการค้นหาอาจไม่สามารถแสดงผลอย่างตรงไปตรงมาได้ทั้งหมด มีการแสดงคำที่คล้าย หรือใกล้เคียงขึ้นมาด้วย เพราะฉะนั้นการทำ SEO ให้ถูกหลัก ต้องแน่ใจว่ามีการกำหนดคำค้นหาที่เหมาะสมกับผลิตภัณฑ์ของเราและตรงกับคำค้นหา เพื่อที่จะให้ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า อาทิเช่น วานคีย์เวิร์ดคำว่า “ทีเด็ดบอล” พอลูกค้าค้นหาก็มีความเป็นไปได้สูงที่จะพบเจอหน้าเว็บไซต์ทีเด็ดบอลเต็งของเราที่ทำอันดับจนติดหน้า 1 ทาง Google

SEM (Seach Engine Marketing) : บางทีเครื่องมือในการทำการตลาดออนไลน์ ทำให้เว็บเพจของเรามีผู้คนเห็นเป็นจำนวนมากหรือเพิ่มปริมาณการเข้ารับชม แต่อาจจะต้องมีตัวช่วยด้วยการโฆษณาหรือการทำตลาดออนไลน์ที่มีค่าใช้จ่าย หรือที่รู้จักกันดี ว่าการจ่ายเงินให้กับทาง Google เพื่อทำ Google Adwords ให้เว็บแสดงเป็นอันดับแรก ๆ จะได้มีผู้คนเข้ามารับชมข้อมูลบนเว็บไซต์ของเราก่อนใครๆ หากต้องการทำ Google Adwords แล้วก็ เราต้องเข้าใจคำว่า Pay Per Click หรือ “PPC” ก่อน เพราะเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับการทำโฆษณาออนไลน์

SMM (Social Media Marketing) : และแล้วก็ถึงคิวของ SMM เรารู้อยู่แล้วว่า Seo ดีต่อการมีตัวตนบนโลกออนไลน์มากแค่ไหน ถึงแม้ว่าต้องใช้เวลา แต่ก็คุ้มค่ากับการรอคอยสุดๆ ส่วน SEM นั้นไม่ต้องกังวล หากเราคำนวณค่าใช้จ่ายดีแล้วก็คุ้มค่าเช่นกัน ส่วนการตลาดออนไลน์ที่เกี่ยวข้องกับ SMM คือเวลาที่เราอยากให้คนอื่นเข้ามาอ่าน Content ของเรา เราต้องอาศัย Social Media ต่างๆนำพาเข้ามา โดยใช้ลิงก์จาก Facebook, Twitter หรือ YouTube ฉะนั้นเป้าหมายของ SMM ก็คือการขับเคลื่อนการเข้าชมไปยังเว็บไซต์หน้า Landing Page ของเรา เพื่อให้ผู้คนที่สนใจมีส่วนร่วมกับไปกับเรา ซึ่งจะเป็นการเพิ่มรายได้ให้กับ ROI (Return on Investment) ที่สามารถติดตามผลได้ในช่วงทางต่างๆ ทั้ง Facebook, Twitter, LinkedIn, YouTube, Google+, Instagram, Snapchat ซึ่งคล้ายๆ กับการทำ Seo on Page

SEM ต่างกับ SEO อย่างไร

ช่องทางที่ภาคธุรกิจจะเข้าถึงลูกค้าหรือผู้บริโภคได้ตรงเป้าหมายอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน การเปิดเว็บไซต์คือความจำเป็นลำดับต้น ๆ ที่สมควรทำ แต่ลำพังเพียงการเปิดเว็บไซต์ก็ยังถือว่าไม่เพียงพอ เพราะเดี๋ยวนี้ไม่ว่าธุรกิจไหน ๆ ก็มีเว็บไซต์กันทั้งนั้น

เมื่อมีเว็บไซต์เพื่อเผยแพร่ข้อมูลทางธุรกิจแล้ว การจะทำให้เว็บไซต์ธุรกิจของเราไปปรากฏในสายตาของกลุ่มเป้าหมายที่เราต้องการได้ ก็จำเป็นต้องให้เว็บไซต์ของเราไปแสดงบนหน้าแรกของการค้นหาใน google search ให้ได้เร็วที่สุด ดังนั้นการทำการตลาดผ่านเครื่องมือนี้จึงเป็นสิ่งที่คุณจำเป็นต้องทำเช่นเดียวกัน

วิธีการที่จะทำให้เว็บไซต์ไปแสดงผลบนหน้าแรกของ google มีอยู่ด้วยกันสองวิธีหลัก ๆ ก็คือ การทำ SEO กับการทำ SEM

หลักการของ SEO

การทำ SEO หรือ Search Engine Optimization ก็คือการสร้างทราฟฟิกให้เกิดขึ้นบนเว็บไซต์ผ่านการพัฒนาคอนเทนต์และรูปแบบการนำเสนอให้ได้รับการจัดอันดับจากระบบของ google จนได้รับการแสดงผลบนหน้าแรก ๆ ทั้งนี้การทำ SEO จะไม่มีการซื้อโฆษณากับทาง google โดยตรง ค่าใช้จ่ายของการทำ SEO จะเกิดขึ้นจากการจ้างผู้เชี่ยวชาญช่วยในเรื่องการออกแบบหรือสร้างคอนเทนต์ให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมายมากที่สุดเท่านั้น

หลักการของ SEM

สำหรับการทำ SEM หรือ Search Engine Marketing ก็คือการทำการตลาดผ่านเว็บไซต์เพื่อให้เกิดการจัดอันดับเว็บไซต์เป้าหมายไปสู่อันดับต้น ๆ ในหน้าแรกของ google เช่นเดียวกับการทำ SEO จะแตกต่างกันก็ตรงที่การทำ SEM เป็นการทำการตลาดโดยการซื้อโฆษณากับ google โดยตรง ซึ่งเป็นการการันตีได้ว่าเว็บไซต์ของคุณจะถูกแสดงในหน้าแรกตามที่ต้องการอย่างแน่นอน

ทั้งนี้ การทำ SEO และการทำ SEO มีเป้าหมายสุดท้ายเดียวกัน คือ การทำให้เว็บไซต์ถูกแสดงผลในหน้าแรกบน google แตกต่างกันก็ตรงที่จ่ายเงินให้ google เพื่อซื้อโฆษณากับไม่จ่ายเงินเท่านั้นเอง

เราลองมาดูข้อดี ข้อด้อยของการทำ SEO กับการทำ SEM กันบ้าง

ข้อดีของการทำ SEO 

1. ไม่ต้องเสียเงินซื้อโฆษณา 

2. ผลลัพธ์ที่ได้เหมือนกันหากทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ข้อด้อยของการทำ SEO

1. ต้องใช้ระยะเวลาและความต่อเนื่องในการทำงาน จึงจะเห็นผลตามที่ต้องการ

2. ไม่การันตีว่าเว็บไซต์จะติดหน้าแรกแน่นอน

ข้อดีของการทำ SEM

1. การันตีว่าเว็บไซต์ของคุณจะติดหน้าแรกของการค้นหาอย่างแน่นอน

2. ได้ผลลัพธ์กลับมาอย่างรวดเร็วทันต่อสถานการณ์การแข่งขันทางธุรกิจ

ข้อด้อยของการทำ SEM

1. ใช้งบประมาณสูงเมื่อเทียบกับการทำการตลาดผ่าน SEO 

2. การได้รับการแสดงผลการค้นหาในหน้าแรก ไม่ได้หมายความว่าจะได้รับการตอบสนองจากกลุ่มเป้าหมาย 100%

ทั้งการทำ SEO และการทำ SEM ล้วนส่งผลดีต่อการทำธุรกิจผ่านช่องทางออนไลน์ทั้งคู่ ดังนั้นธุรกิจที่มีเว็บไซต์จึงควรทำทั้งสองอย่างควบคู่กันไป เพื่อสร้างความแข็งแกร่งทางการตลาดในสภาพการแข่งขันที่มีสูงมากอย่างในปัจจุบัน

ทำ SEO แล้ว ทำไมยอดขายไม่เพิ่ม

ร้านค้าและธุรกิจมากมายหลายประเภทเข้าสู่โลกออนไลน์กันทั้งนั้น ในยุคนี้ทำการตลาดออนไลน์มีการแข่งขันกันสูง แต่ก็มีทางเลือกให้ทำได้ในหลายรูปแบบทั้งด้วยวิธีธรรมชาติ (Organic Marketing) และแบบเสียค่าใช้จ่ายในการโฆษณาเพื่อให้เข้าถึงลูกค้าได้ง่ายและรวดเร็วกว่า

สำหรับเว็บไซต์ของธุรกิจที่ใช้วิธี SEO (Search Engine Optimization) คือ การปรับปรุง พัฒนาเว็บไซต์ให้ถูกใจระบบ Search Engine โดยเฉพาะ Google ที่คนนิยมใช้มาก เพื่อที่จะได้ขึ้นเป็นอันดับต้น ๆ ในหน้าแรกของการค้นหาด้วย Keyword เพราะนั่นเท่ากับว่าเป็นการเพิ่มโอกาสการเข้าถึงลูกค้า และเป็นไปได้สูงที่ยอดขายจะเพิ่มขึ้น แต่หลายธุรกิจที่พยายามดันเว็บไซต์ของตัวเองให้ขึ้นไปอยู่หน้าแรกอันดับบน ๆ ให้คนได้เห็นก่อน แต่กลับไม่ช่วยเพิ่มยอดขายอย่างที่ตั้งใจไว้ ซึ่งอาจจะมีปัจจัยพื้นฐานที่น่าสนใจพวกนี้

หน้าตา รูปแบบ โครงสร้าง ของเว็บไซต์มีความน่าสนใจ ดึงดูด ให้ผู้เข้าชมอยู่กับเว็บไซต์เราได้นานหรือเปล่า การค้นหาหรือใช้งานภายในเว็บไซต์ยุ่งยากเกินไปจนทำให้หงุดหงิดไหม เพราะนี่ถือเป็น First Impression ในการเข้าถึงเว็บไซต์ธุรกิจเลยทีเดียว การใช้สี รูปแบบตัวอักษร การวางโครงสร้างให้ดูง่าย สบายตาก็เป็นส่วนสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม

นอกจากนี้ ด้านตัวสินค้าและบริการเองก็ต้องมีความน่าเชื่อถือ เพราะในโลกออนไลน์ลูกค้าจะได้แค่เห็นควบคู่กับการได้ยินไม่สามารถสัมผัสหรือหยิบจับได้ เพราะฉะนั้นทางเลือกที่ดีของเว็บไซต์คือใช้รูปและวิดีโอเข้ามาช่วยในการสื่อสารระหว่างธุรกิจกับลูกค้า ที่สำคัญต้องออกแบบให้มีพลังของคอนเทนต์เพิ่มความน่าเชื่อถือให้ได้มากที่สุด นอกจากนี้ถ้าเว็บไซต์มีความน่าเชื่อถือก็มีโอกาสที่คนจะนำไปใช้อ้างอิงและใส่ลิงก์เว็บไซต์เราไปในที่ต่าง ๆ ถือเป็นการช่วยประชาสัมพันธ์ธุรกิจให้เราอีกช่องทางด้วย

ด้านภาษาที่ใช้ ก็ต้องเหมาะกับกลุ่มลูกค้า ภาษานอกจากมีหลายระดับ แล้วยังมีหลาย Generation อีกด้วย เป็นเรื่องที่ต้องใส่ใจว่าจะทำเว็บไซต์ใด ๆ ต้องเลือกภาษาให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าในสินค้าและบริการของเรา เพื่อง่ายต่อการตัดสินใจซื้อ

ความเร็วและเสถียรของการเปิดหน้าเว็บไซต์ เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องใกล้ตัวมาก ๆ จนได้รับการมองข้าม ถึงแม้เว็บไซต์เราจะอยู่ให้ลูกค้าเห็นก่อนเป็นอันดับแรก ๆ ก็จริง แต่ถ้าลูกค้าเลือกเข้าไปแล้วนานกว่าจะโหลดเปิดหน้าเว็บไซต์ขึ้นมาได้ โอกาสที่จะเปลี่ยนใจไปสู่เว็บไซต์อื่นเป็นไปได้สูง เท่ากับเว็บไซต์เราได้เสียโอกาสทางธุรกิจไปอย่างน่าเสียดาย

การแข่งขันที่เข้มข้นและรวดเร็วบนโลกตลาดออนไลน์ทำให้ทุกธุรกิจต้องพร้อมปรับตัว เปลี่ยนแปลง และพัฒนาตลอดเวลาเพื่อให้ทันต่อความต้องการของผู้บริโภคที่ชอบความสะดวก สบาย และรวดเร็ว พร้อมจ่ายถ้าถูกใจ ถึงแม้จะทำการตลาดแบบ SEO ที่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายกับการทำโฆษณาตรงนี้ แต่ตัวเว็บไซต์ต้องมีการลงทุนด้านต่าง ๆ โดยไม่ละเลยเรื่องรายละเอียดเพื่อคุณภาพที่ดี สร้างความประทับใจให้กับลูกค้าทั้งเก่า-ใหม่ ให้กลายเป็นลูกค้าประจำได้

เราจะทำบทความ SEO ด้วยตัวเองหรือจ้างดีกว่ากัน

บทความ SEO เป็นหัวใจสำคัญของการทำเว็บไซต์ที่ดึงดูดใจผู้อ่านหรือลูกค้ากลุ่มเป้าหมายให้เข้ามาในเว็บไซต์ซ้ำอีก เพื่ออ่านสาระเพิ่มพูนความรู้หรืออ่านรีวิวประกอบการตัดสินใจซื้อสินค้าบางอย่าง หากจะถามว่าในฐานะเจ้าของเว็บไซต์ เราควรเขียนบทความ SEO เองหรือจ้างคนเขียนดีกว่ากัน มีประเด็นต่าง ๆ ที่ควรคำนึงถึง ดังนี้

  1. ความเชี่ยวชาญในเรื่องที่จะเขียน
    หากคุณเป็นนักธุรกิจที่เริ่มต้นจากศูนย์แล้วค่อย ๆ ก่อร่างสร้างตัวเป็นธุรกิจของตัวเองหรือผลิตสินค้านั้นด้วยตัวเองแทบทุกขั้นตอน คุณย่อมรู้ดีถึงข้อมูลสินค้าตั้งแต่วัตถุดิบกระบวนการผลิต การบรรจุ การจัดส่ง ฯลฯ อันเป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับเขียนบทความชนิดรู้ลึกรู้จริงดึงดูดใจคนอ่าน กรณีนี้เราสนับสนุนให้คุณเขียนด้วยตัวเอง แต่หากคุณไม่มีความรู้ในตัวสินค้า หรือ ถ่ายทอดความรู้ไม่เก่ง ก็สามารถนำข้อมูลที่คุณมีอยู่ ส่งต่อให้นักเขียนมืออาชีพเขียนเป็นบทความ SEO ก็ได้
  2. งบประมาณที่มี
    บทความ SEO เป็นสิ่งที่ต้องทำทุกวัน เพื่ออัปเดตเรื่องราวใหม่ ๆ ที่น่าสนใจ โดยเฉพาะเพจใน Facebook ที่ต้องมีการนำเสนอความแปลกใหม่ เพื่อกระตุ้นยอดขายอย่างสม่ำเสมอ หากคุณเขียนบทความเองได้ จะประหยัดค่าจ้างเขียนเดือนละหมื่นกว่าบาทได้ แต่หากต้องการเอาเวลาที่มีอยู่ไปใส่ใจในเรื่องการบริหารและคิดค้นผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ก็ควรยกหน้าที่นี้ให้นักเขียนที่มีความสามารถแทน
  3. ความเข้าใจหลักการ SEO
    SEO เป็นหลักการที่ทั้ง Facebook, Google และ Youtube มีแบบแผนของตัวเองที่คุณจำเป็นต้องเรียนรู้และหมั่นฝึกฝน มีการวิเคราะห์พัฒนาการของการทำ SEO ด้วยสถิติเพื่อปรับปรุงอยู่เสมอ หากคุณสามารถทำได้เองก็ลงมือเลย แต่หากไม่ถนัด เราแนะนำให้จ้างบริษัทรับทำ SEO ซึ่งมีนักเขียนที่มีความชำนาญอยู่ในทีมดีกว่า
  4. การเขียนบทความเฉพาะวัตถุประสงค์
    บทความ SEO ที่ใช้เพื่อการโปรโมทสินค้าหรือรีวิวกระตุ้นยอดขายเฉพาะช่วงเวลาสั้น ๆ จำเป็นต้องใช้เทคนิคดึงดูดคนอ่านหรือมีแคปชั่นบางอย่างที่ต้องใช้สถิติวิเคราะห์ หากเจ้าของเว็บไซต์มีทักษะในการเขียนที่ดีอยู่แล้ว ก็สามารถทำได้เองทันที แต่หากคุณต้องการจ้างนักเขียนมืออาชีพก็ได้เช่นกัน เพียงแต่ต้องจัดสรรงบประมาณเอาไว้เพื่อการนี้ ซึ่งจะมีค่าจ้างสูงกว่าการทำด้วยตนเอง

การจะจ้างเขียนบทความ SEO หรือการทำด้วยตัวเองนั้น คงไม่มีใครบอกได้ว่าควรทำแบบไหน หรืออาจจะทำแบบผสมผสาน คือ บางบทคุณเขียนเอง บางบทก็จ้างนักเขียนมืออาชีพ ทั้งหมดนี้ต้องมาจากการประเมินและวิเคราะห์ว่าคุณมีความถนัดหรือไม่ ประหยัดเวลาด้วยการจ้างนักเขียนจะดีกว่าไหม ต้องการควบคุมค่าใช้จ่ายแค่ไหน ฯลฯ แต่ไม่ว่าจะเลือกแบบใด หากงานเขียนบทความ SEO มีคุณภาพ ก็ย่อมทำให้เว็บไซต์ของคุณมีโอกาสประสบความสำเร็จได้เช่นกัน

แนะ 3 วิธีทำการตลาดบน Social Media เอาใจวัย Gen Z

“เงินอยู่บนฟ้า สินค้าอยู่บนมือถือ” เป็นคำกล่าวที่คงไม่เกินไปจากความเป็นจริงในโลกแห่งสมาร์ทโฟนและโซเชียลมีเดีย เมื่อความจริงเป็นเช่นนั้น นักธุรกิจและนักการตลาดออนไลน์ส่วนใหญ่จึงมุ่งไปที่แอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟนเพื่อเสริมกลุทธ์การทำการตลาดในโซเชียลมีเดียต่าง ๆ ให้มีประสิทธิภาพ โดยบรรดาบริษัทฯ เจ้าของแบรนด์และเว็บไซต์ต่าง ๆ ได้ทำการศึกษาและเข้าใจในพฤติกรรมของผู้บริโภคกลุ่มต่าง ๆ เพื่อนำมาวางกลยุทธ์ด้านการตลาดให้ดำเนินไปอย่างสัมฤทธิ์ผลตามเป้าหมายที่วางเอาไว้ โดยเน้นไปที่กลุ่มเป้าหมายในวัย Gen Z ที่มีอายุระหว่าง 9-24 ปี ซึ่งเป็นผู้ที่เกิดระหว่างปี 2540-2555 และเป็นเจเนอเรชั่นที่ทรงอิทธิพลและมีบทบาทต่อสังคมและเศรษฐกิจของประเทศไทยและทั่วโลกในอนาคต ดังนั้นเราจึงมีวิธีการทำการตลาดบน Social Media เพื่อเอาใจวัย Gen Z มาฝากให้เป็นไอเดียกันถึง 3 วิธี ดังต่อไปนี้

1.สร้างคอนเทนต์ที่มีคุณภาพเพื่อเป็นแรงจูงใจโดยศึกษาจากข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มเป้าหมาย เช่น เมื่อเราพบข้อมูลสถิติว่า วัย Gen Z พิจารณาเลือกซื้อสินค้าโดยเลือกจากฟังก์ชันการใช้งานมากกว่า ความคุ้มค่า หรือเหตุผลอื่นใด ยิ่งไปกว่านั้นคนในวัยนี้ จำนวนกว่า 85 เปอร์เซ็นต์ ยังเต็มใจจ่ายเงินเพิ่มเพื่อซื้อสินค้าในแบรนด์หรือผลิตภัณฑ์ที่มีคอนเทนต์หรือกิจกรรมเพื่อช่วยรณรงค์แก้ปัญหาสังคมและสิ่งแวดล้อม

2.สร้างตัวตนที่ชัดเจนและน่าสนใจผ่านแบรนด์สินค้าและบริการ เพราะคนเรามักชอบเรื่องเล่าที่บ่งบอกถึงความเป็นตัวตนและสอดคล้องกับ Customer Experience ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญที่กระตุ้นให้ผู้บริโภค หรือกลุ่มลูกค้าตัดสินใจซื้อสินค้าตามความต้องการมากกว่าความจำเป็นนั่นเอง

นอกจากนี้ ยังมีเรื่องของความน่าเชื่อถือที่จะช่วยให้ลูกค้าตัดสินใจง่ายขึ้น ในกรณีของผู้ค้าบนเฟซบุ๊ก การมีแค่หน้าเพจยังไม่พอ ผู้ประกอบการต้องมีการยืนยันเพจด้วย ประสิทธิ์ อธิบายว่าการยืนยันเพจจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าที่เป็นแฟนพันธุ์แท้ของแบรนด์ มีปฏิสัมพันธ์กับเรามากขึ้น และยังช่วยในการดึงลูกค้าที่หลงไปกับเพจปลอมต่างๆ ให้กลับมา

วิธีที่ 3 การเลือกใช้แพลทฟอร์ม ที่มีประสิทธิ์ หากพิจารณาจากเป้าหมายการใช้เวลากับโซเชียลมีเดียของกลุ่มGen Z แล้วจะเข้าใจวัตถุประสงค์ในการใช้งาน ที่แตกต่างกัน ยกตัวอย่างเช่น การเล่นเฟซบุ๊กก็เพื่อรับรู้ข้อมูลข่าวสาร เล่นอินสตาแกรมสำหรับแชร์เรื่องราวที่สนใจในชีวิตประจำวัน และติดตามเทรนด์ที่น่าสนใจในโลกโซเชียล เล่นทวิตเตอร์เพื่อแสดงความคิดเห็น และเล่น Tiktok ในการผ่อนคลายและค้นหาแรงบันดาลใจ เป็นต้น ดังนั้นจึงต้องเลือกใช้เฟซบุ๊ก เป็นแพลทฟอร์มหลักในการทำการตลาดออนไลน์ ซึ่งจะช่วยให้คอนเท้นต์และแผนกลยุทธ์เหล่านั้น ถูกส่งต่อจากลูกค้า กระจายไปยังกลุ่มเพื่อนและคนรอบข้างในเพจเฟซบุ๊กของกลุ่มเป้าหมายหรือกลุ่มลูกค้าได้อย่างรวดเร็วฉับไว และที่สำคัญยังช่วยขยายฐานข้อมูลผู้บริโภคที่เป็นกลุ่มเป้าหมายใหม่ๆ ให้เพิ่มขึ้นอย่างกว้างขวางและทวีคูณภายในเวลาจำกัด อย่างแม่นยำและมีประสิทธิภาพมากที่สุดด้วย