หมวดหมู่: Private Blog Network

อยากทำ SEO ให้ประสบความสำเร็จ

การทำ SEO เพื่อให้เว็บไซต์หรือเนื้อหาของคุณประสบความสำเร็จมีหลายขั้นตอนและกลยุทธ์ที่สามารถนำมาใช้ได้ ต่อไปนี้คือขั้นตอนสำคัญที่ควรพิจารณาเพื่อทำ SEO ให้ประสบความสำเร็จ

การค้นหาคำสำคัญ (Keyword Research)

หาคำสำคัญที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาของคุณ โดยใช้เครื่องมือค้นหาคำสำคัญออนไลน์ เช่น Google Keyword Planner, SEMrush, หรือ Ahrefs

เลือกคำสำคัญที่มีประสิทธิภาพและมีประเด็นที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาของคุณ

การสร้างเนื้อหาที่มีคุณค่า (Content Creation)

สร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพและน่าสนใจสำหรับผู้อ่าน

ให้เนื้อหามีความเชื่อมโยงกับคำสำคัญที่เลือกไว้

การเขียนเนื้อหาที่มีความยาวเพียงพอ เพื่อให้มีข้อมูลมากพอที่จะเป็นประโยชน์แก่ผู้อ่านและโดยเฉพาะเมื่อมีการทำ SEO

การปรับแต่งเว็บไซต์ (On-Page SEO)

ใช้คำสำคัญในเนื้อหา โดยเฉพาะในส่วนของหัวเรื่อง (Headings) และ Meta Tags

จัดลำดับและตั้งชื่อไฟล์ภาพให้สอดคล้องกับคำสำคัญ

ปรับปรุงความเร็วในการโหลดของเว็บไซต์ (Website Speed)

สร้าง URL ที่สื่อความหมายและสั้นกระชับ

การสร้างลิงก์ (Link Building)

สร้างลิงก์ที่มีคุณภาพจากเว็บไซต์อื่นที่เกี่ยวข้อง

การใช้เครื่องมือตรวจสอบลิงก์ที่เข้ามา (Backlink Checker) เพื่อติดตามลิงก์และวิเคราะห์คุณภาพของลิงก์

การติดตามและวิเคราะห์ผล (Tracking and Analysis)

ใช้เครื่องมือวิเคราะห์เว็บไซต์ เช่น Google Analytics เพื่อติดตามการเยี่ยมชมเว็บไซต์และพฤติกรรมของผู้เข้าชม

ทำการวิเคราะห์ความสำเร็จของกลยุทธ์ SEO และปรับปรุงตามผลลัพธ์ที่ได้

การทำ SEO ไม่ใช่เรื่องที่จะทำเสร็จภายในเวลาสั้น มันต้องเป็นกระบวนการที่ต้องทำต่อเนื่อง เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีและยั่งยืนในระยะยาว อย่าลืมที่จะปรับปรุงและปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ของคุณตามผลลัพธ์ที่ได้เสมอด้วย และอย่าลืมว่าความสำเร็จใน SEO มักจะเกิดขึ้นในระยะเวลาที่ยาวนาน จึงต้องมีความตั้งใจและความอดทนในการดำเนินการด้วย

SEO และ Google AdWords แตกต่างกันอย่างไร

การทำการตลาดออนไลน์ผ่านเครื่องมือค้นหาบนอินเทอร์เน็ตทำเว็บไซต์ให้ติดอันดับหน้าแรก ๆ มี 2 ตัวช่วยหลักคือ SEO และ Google AdWords ซึ่งธุรกิจไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ให้ความสนใจไม่น้อย ถือเป็นเครื่องมืออันทรงพลังในการเจาะเข้าถึงลูกค้าอย่างแม่นยำ โดยไม่ต้องจ่ายแพงเหมือนกับวิธีการโฆษณาแบบดั้งเดิม

หลายคนอาจไม่ทราบว่า SEO และ Google AdWords แตกต่างกันอย่างไร ทำไมบริษัทธุรกิจและนักการตลาดควรใส่ใจในเรื่องนี้ เราจะมาหาคำตอบไปพร้อมกัน

1.SEO (Search Engine Optimization) คือการทำให้เว็บไซต์ขึ้นบนหน้าค้นหาโดยธรรมชาติ การทำ SEO ให้มีประสิทธิภาพต้องสร้างคอนเทนต์เป็นประจำ พร้อมกับปรับโครงสร้างเว็บไซต์ให้เข้าใช้งานง่าย ส่งผลให้มีการแชร์เว็บไซต์ออกมาไปมากๆ อย่างไรก็ตาม SEO ทำได้ง่ายในตอนแรกและไม่ต้องเสียเงินให้ Google แต่ยากที่จะสมบูรณ์แบบได้ในระยะยาว เป็นเพราะวิธีการทำ SEO จะใช้เวลาไม่น้อยกว่า 5-6 เดือน หลังจากขึ้นไปอันดับสูง ๆ ได้แล้ว การรักษาตำแหน่งไว้ให้ยั่งยืนยิ่งเป็นเรื่องยาก จำเป็นต้องทำการปรับปรุงเป็นประจำเพื่อให้ยังรักษาอันดับต้น ๆ เอาไว้ให้ได้ ด้วยเหตุนี้ ถ้าอยากดันอันดับเว็บไซต์ให้สูงขึ้นจะต้องเสียค่าบริการให้ผู้เชี่ยวชาญด้าน SEO เพื่อโปรโมทให้สินค้าหรือบริการออกไปสู่สายตาผู้คนจำนวนมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

2.Google AdWords อธิบายง่าย ๆ ว่าคือการลงโฆษณาเว็บไซต์บนหน้าค้นหากับ Google โดยตรง มีการเก็บเงินเมื่อมีคนคลิกเข้าไปชมเว็บไซต์นั่นเอง สิ่งสำคัญคือการเลือกคีย์เวิร์ดและคำโฆษณาได้เองตามต้องการ สามารถเปลี่ยนคำใหม่ได้ทุกเมื่อ วิธีนี้ช่วยให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้น จะถูกเรียกเก็บเงินเมื่อมีคนคลิกบนโฆษณาเท่านั้นและจ่ายเงินตามจำนวนคนที่คลิกเข้ามาดู ถือว่า Google Ads มีค่าใช้จ่ายค่อนข้างถูกและได้ผลดีน่าพอใจ สามารถควบคุมงบประมาณไม่ให้บานปลายได้และเก็บข้อมูลยอดขายมาต่อยอดเพื่อหาช่องทางการขายที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ Google Ads ยังเป็นเครื่องมือทำการตลาดออนไลน์บนเว็บไซต์อื่น ๆ บนเครือข่ายของ Google ซึ่งจะช่วยให้เราเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายมากยิ่งขึ้น สามารถเข้าถึงเว็บไซต์นับพันแห่งในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณด้วย

สุดท้ายแล้วเป้าหมายของการทำ SEO ช่วยให้บริษัทและธุรกิจของคุณค้นหาทางออนไลน์ได้ง่าย ในขณะที่ Google Ads ช่วยให้ใช้ประโยชน์จากการโฆษณาออนไลน์เข้าถึงผู้ชมที่ใช่ ในสถานที่และเวลาที่เหมาะสม เหมาะสำหรับการดึงดูดผู้เข้าชมมายังเว็บไซต์ ช่วยส่งเสริมการเติบโตในระยะสั้น ส่วนการเติบโตในระยะยาวจำเป็นต้องอาศัยเวลาและมุ่งเป้าหมายให้ธุรกิจเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน

สรุปความต่างระหว่าง SEO และ Google AdWords

1.SEO สามารถทำให้เว็บไซต์ติดอันดับการค้นหาของ Google ได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม แตกต่างจาก Google AdWords ทำให้เว็บไซต์ติดอันดับการค้นหาได้เร็วกว่า แต่ต้องมีเงินทุนอัดฉีดด้านโฆษณาต่อเนื่อง ถ้าหยุดจ่ายค่าโฆษณาเมื่อไร อันดับก็จะลดลงไปเรื่อยๆ

2.ข้อดีของ SEO คือช่วยให้เว็บไซต์ติดอันดับการค้นหาของ Google ได้นานและคงที่มากกว่า ในขณะที่ Google AdWords ไม่เพียงแสดงผลโฆษณาบนเว็บไซต์เท่านั้น แต่ยังรวมถึงพันธมิตรของ Google ด้วย

สรุปว่าการทำ SEO เหมาะกับธุรกิจที่ทำมานานและต้องการมีตัวตนในโลกออนไลน์ เพื่อเข้าถึงลูกค้าในวงกว้างมากขึ้นและสร้างความเชื่อมั่นยิ่งขึ้น สำหรับ Google AdWords เน้นการโปรโมทธุรกิจใหม่เพื่อให้ติดอันดับใน Google แบบเร่งด่วน แต่มีข้อจำกัดเรื่องอัดฉีดเงิน ถ้าเงินโฆษณาหมด อันดับของเว็บไซต์ก็จะลดลงด้วย

5 จุดเด่นของการทำ SEO เพราะอะไรเจ้าของธุรกิจจึงสนใจ

การทำการตลาดถือเป็นสิ่งสำคัญทำให้ธุรกิจเจริญเติบโต ท่านเจ้าของธุรกิจจึงต้องอาศัยเครื่องมือทำการตลาดเป็นตัวช่วยผลักดันยอดขาย และหนึ่งในเครื่องมือที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในยุคนี้ คือ เครื่องมือการตลาดที่เรียกว่า SEO หรือชื่อเต็ม Search Engine Optimization เครื่องมือการตลาดออนไลน์รูปแบบหนึ่ง มีวัตถุประสงค์เพื่อผลักดันเว็บไซต์ให้ติดหน้าแรกการค้นหา ยกตัวอย่างการที่เราจะทำให้เว็บบอลออนไลน์ของเราติดหน้าแรกก็เช่นกัน ข้อมูล รายละเอียดเกี่ยวทีมบอล สถิติ บอลต่อ บอลรอง รวมถึงยังมีจุดเด่นอื่น ๆ ที่ทำให้ท่านเจ้าของธุรกิจตันสินใจลงทุนกับเครื่องมือนี้

จุดเด่นของการทำ SEO ที่ทำให้เจ้าของธุรกิจสนใจ

– เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างตรงจุด

เรียกได้ว่าเป็นจุดเด่นอันดับแรกที่ต้องนึกถึงเลยก็ว่าได้ เพราะ SEO โดดเด่นเรื่องการเป็นเครื่องมือที่เจาะเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างดีเยี่ยม เมื่อกลุ่มเป้าหมายกดค้นหาคีย์เวิร์ดใน Search Engine ก็มีโอกาสเจอเว็บไซต์ของคุณได้ง่ายยิ่งขึ้น โดยเฉพาะหากท่านเจ้าของธุรกิจสามารผลักดันเว็บไซต์ให้ติดหน้าแรก โอกาสที่กลุ่มเป้าหมายจะมองเห็นคุณก็ง่ายขึ้นตามไปด้วย

– เพิ่มโอกาสเจอกลุ่มเป้าหมายใหม่

หากเป็นเมื่อก่อนนี้การค้นหากลุ่มเป้าใหม่ของธุรกิจอาจเป็นเรื่องยากสักนิดสำหรับนักการตลาด แต่ปัจจุบัน SEO สามารถทำให้ค้นเจอกลุ่มเป้าใหม่ ๆ ได้ง่ายขึ้น เพียงแค่คุณทำเว็บไซต์ให้ติดหน้าแรก กลุ่มเป้าหมายที่อาจไม่เคยรู้จักธุรกิจคุณมาก่อนอาจจะสนใจ คลิกเข้าสู่เว็บไซต์ และสร้างการจดจำได้ในที่สุด 

– เพิ่มความน่าเชื่อถือให้ธุรกิจ

นอกจากแบรนด์ต้องสร้างการจดจำแก่ลูกค้าแล้ว เพื่อความภักดีต่อธุรกิจในระยะยาวก็ควรสร้างความน่าเชื่อถือให้กับธุรกิจด้วย การผลักดันเว็บไซต์สู่หน้าแรกการค้นหาได้ คือวิธีหนึ่งในการสร้างความน่าเชื่อถือ เพราะการติดหน้าแรกการค้นหาสะท้อนให้เห็นว่าธุรกิจวางแผนทำ SEO มาอย่างดีและออกแบบเว็บไซต์ให้เป็นไปตามมาตรฐานการให้คะแนนของ Search Engine จนก้าวสู่อันดับดี ๆ ของการค้นหาได้

– กระตุ้นพฤติกรรมการซื้อ

ไม่เพียงสร้างความน่าเชื่อถือหรือสร้างการจดจำ SEO ยังช่วยกระตุ้นพฤติกรรมการซื้อสินค้าและบริการ เพราะสามารถโปรโมทธุรกิจได้ตลอดเวลา กลุ่มเป้าหมายมีโอกาสเห็นเว็บไซต์คุณได้ซ้ำ ๆ เพิ่มโอกาสตัดสินใจซื้อสินค้าและบริการได้อย่างดีเยี่ยม

– ประหยัดค่าใช้จ่าย

SEO มีจุดเด่นมากมายแต่รู้หรือไม่ว่ากลับใช้งบประมาณน้อยกว่าการทำการตลาดประเภทอื่น เช่น การซื้อโฆษณาโทรทัศน์ การจัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาด ฯลฯ เพราะหัวใจหลักของการทำ SEO คือการปรับแต่งเว็บไซต์ให้ได้มาตรฐานตามเกณฑ์ให้คะแนนของ Search Engine ซึ่งหากทำได้ เชื่อว่าคุ้มค่ากับการลงทุนอย่างแน่นอน

เรียกได้ว่าการทำ SEO มาพร้อมข้อดีและจุดเด่นหลายอย่างที่บางครั้งเครื่องมือการตลาดประเภทอื่น ๆ ไม่สามารถทำได้ โดยเฉพาะการสร้างความเชื่อมั่น ความมั่นใจในสินค้า และเจาะถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างลึกซึ้ง ที่สำคัญยังสอดคล้องกับพฤติกรรมผู้บริโภคในยุคปัจจุบันที่ก่อนตัดสินใจซื้อสินค้าและบริการอะไรต้องค้นหาข้อมูลจาก Search Engine ก่อนเสมอ จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจว่าเพราะอะไร SEO จึงเป็นเครื่องมือการตลาดออนไลน์ที่น่าจับตามองเป็นอย่างยิ่ง 

SEO ไม่ใช่แค่เขียนบทความ Backlink ยังสำคัญอันดับต้น

คนที่คุ้นเคยกับการทำ SEO ทราบดีว่าวิธีการจัดอันดับและแสดงผลการค้นหาเว็บไซต์ของ Google ปรับเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ เพื่อให้การค้นหาตอบโจทย์ผู้ใช้งานมากที่สุด จำเป็นต้องติดตามระบบการจัดอันดับเว็บไซต์หรือ Google Algorithm เพื่อคัดเลือกคีย์เวิร์ดที่คนค้นหามากที่สุดมาแทรกไว้ในบทความ เนื้อหาบทความทันสมัย น่าอ่านและมีประโยชน์ก็ไม่ได้หมายความว่าจะทำให้เว็บไซต์ติดอันดับที่ดีได้ ต้องอาศัยการปรับแต่งเว็บไซต์ด้านอื่น ๆ ด้วย Backlink ยังมีความจำเป็นอยู่แน่นอน

Backlink ยังคงมีบทบาทสำคัญต่อกลยุทธ์การทำ SEO ไม่ใช่น้อย Backlink คือเว็บไซต์อื่นลิงก์มาที่เว็บไซต์ของเรา ต้องเป็นลิงก์ที่มีคุณภาพเท่านั้นที่จะแสดงว่าเว็บไซต์ของเรามีคุณภาพน่าเชื่อถือ ยิ่งมีลิงก์คุณภาพเข้ามาจำนวนมากและมีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับเว็บไซต์ของเราด้วย ยิ่งส่งผลดีมีโอกาสที่จะติดอันดับหน้าแรกได้ง่ายขึ้น

ข้อดีที่เห็นได้ชัดของ Backlink คือการที่เว็บไซต์มีลิงก์เข้ามาช่วยเพิ่มจำนวนผู้ชมที่ติดตามเว็บนั้นเข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์ของเรา การเพิ่ม Traffic จากเว็บไซต์เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ทำให้เว็บไซต์มีโอกาสเข้าไปอยู่ในหน้าแรกของ Google มากขึ้นเช่นกัน โดยปกติแล้วหลังจากเว็บไซต์สร้างหน้าใหม่ขึ้นมายังไม่เป็นที่รู้จักและการทำ SEO ด้วยการลิงก์กับเว็บไซต์ที่มีชื่อเสียง ทำให้ดัชนีของ Google พบหน้าใหม่ของเว็บไซต์เร็วขึ้น

Backlink แบ่งออกได้หลายประเภท สำหรับมือใหม่ในด้านกลยุทธ์ SEO ควรทำความเข้าใจ 2 ประเภทหลัก ดังนี้

  • Dofollow Link คือลิงก์จากเว็บไซต์คุณภาพสูงมีประโยชน์ต่อการทำ SEO เนื่องจากเว็บไซต์คุณภาพลิงก์เข้ามาหาเว็บไซต์ของเราย่อมสร้างความน่าเชื่อถือในสายตาของผู้ใช้งานและส่งผลดีต่อการจัดอันดับเว็บไซต์ด้วย
  • Nofollow Link คือลิงก์ที่ให้ประโยชน์ในด้านเพิ่มคะแนนความนิยม (Domain Authority) เป็นหลัก โดยคะแนนความนิยมมีตั้งแต่ 0-100 ถ้ามีเว็บลิงก์เข้ามาจำนวนมาก แม้จะไม่ใช่เว็บไซต์คุณภาพทั้งหมด ถือว่ายังมีประโยชน์ในด้านเพิ่มอันดับเว็บไซต์ให้ดีขึ้นได้ แม้ว่าจะไม่ได้คะแนนความน่าเชื่อถือและไม่มีพลังในการทำ SEO มากเท่ากับลิงก์แบบ Dofollow ก็ตาม เปรียบเทียบให้เข้าใจง่ายๆ ลิงก์แบบ Nofollow คล้ายกับยอดกดไลค์ กดแชร์ในเฟซบุ๊ก ทำให้มีคนเห็นเว็บไซต์มากขึ้นและคลิกเข้ามาเว็บไซต์มากขึ้นในอนาคต เท่ากับว่ามีลูกค้าในอนาคตเพิ่มมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เป็นการเพิ่มยอดผู้เข้าชมในทางอ้อมซึ่งมีประโยชน์ช่วยให้อันดับเว็บไซต์ดีขึ้นอีกด้วย

การปรับเปลี่ยนวิธีการจัดอันดับเว็บไซต์ล่าสุด Google ไม่ได้ให้ความสำคัญกับ Backlink มากนัก ถึงแม้จะมีเว็บไซต์จำนวนมากลิงก์เข้ามาแต่ไม่ได้เป็นการรับประกันว่าเนื้อหาของเว็บไซต์นั้นมีคุณภาพและน่าเชื่อถือ วิธีการสร้าง Backlink ที่ดีคือการแชร์ในสื่อโซเชียลของตัวเอง Facebook , Twitter , Youtube ซึ่งจะเพิ่มจำนวนผู้เข้าชมได้อย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ต้องเสี่ยงลิงก์เว็บที่เว็บไม่ดีที่เสี่ยงจะถูก Google แบนได้

สรุปว่า กลยุทธ์การทำ SEO ด้วย Backlink จึงต้องมีความเชื่อมโยงกับเว็บไซต์ที่มีคุณภาพเท่านั้นยังไม่พอ ต้องมีเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับอย่างเป็นธรรมชาติด้วย จึงจะเป็นลิงก์ที่น่าเชื่อถือและทำให้การติดอันดับใน Google ดีขึ้นได้

มือใหม่เรียนรู้กลยุทธ์ SEO เริ่มต้นด้วยคีย์เวิร์ดก่อน

คีย์เวิร์ดที่ใช้ในการค้นหาถือเป็นปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งในการทำ SEO โดยทุกบทความจะต้องมีคีย์เวิร์ด ธุรกิจที่มีเว็บไซต์ของตัวเองควรวิเคราะห์คีย์เวิร์ดที่เหมาะสมกับสินค้าหรือแบรนด์ของตนเองแล้ว ส่วนเรื่องที่จะต้องนำไปใส่ตรงส่วนไหนของเว็บไซต์บ้าง เรามีคำตอบมาให้แล้ว ติดตามกันได้เลย

การทำ SEO เป็นกลยุทธ์การตลาดที่มีบทบาทสำคัญทำให้เว็บไซต์ของคุณขึ้นติดหน้าแรกของผลการค้นหาใน Google สำหรับมือใหม่ที่กำลังเรียนรู้เทคนิคการทำให้เว็บไซต์อยู่ในอันดับแรก ๆ ควรเรียนรู้เรื่องคีย์เวิร์ดก่อน เพราะถ้าเลือกคีย์เวิร์ดได้ดี จะไม่เพียงทำให้ลูกค้าค้นหาเจอเว็บไซต์ของคุณก่อนคู่แข่งเท่านั้น แต่ยังช่วยตอบโจทย์ความสนใจของกลุ่มเป้าหมายได้ตรงจุดด้วย

คีย์เวิร์ดควรใส่ตรงตำแหน่งไหนบ้าง

  • ในคอนเทนต์หรือบทความ การใส่คีย์เวิร์ดในบทความจะมีคำเดียวก็ได้ หรือหลายคำแบ่งเป็นคีย์เวิร์ดหลักและคีย์เวิร์ดรอง สิ่งสำคัญคือการเลือกคีย์เวิร์ดทั้งแบบสั้นและแบบยาวเพื่อให้ครอบคลุมคำที่คนใช้ค้นหา มือใหม่ควรเลือกใช้คีย์เวิร์ดยาวที่ประกอบด้วยหลายคำ เช่น “เสื้อผ้า ผู้ชาย ฟรีไซส์ ประตูน้ำ ราคาถูก” เพื่อตีกรอบสิ่งที่ต้องการให้แคบลง ทำให้การแสดงผลน้อยลงและเข้าถึงสิ่งที่สนใจได้ตรงจุดที่สุด
  • ในชื่อหัวเรื่องและหัวข้อย่อย เป็นส่วนหนึ่งในบทความที่จะทำให้คีย์เวิร์ดนั้นเด่นขึ้น ช่วยให้เกิดความเชื่อมโยงและมีโอกาสทำให้หน้าเว็บติดอันดับมากขึ้น
  • ในชื่อ URL โดยใส่คีย์เวิร์ดหลักอยู่ในชื่อ URL ด้วย เพื่อให้เชื่อมโยงกับคอนเทนต์ และช่วยให้บทความเข้าตาและติดอันดับที่ดีขึ้นเช่นกัน
  • ในหน้า Landing Page คือหน้าเว็บไซต์ที่คนคลิกเข้ามาเห็นเป็นหน้าแรกของแต่ละเว็บ แสดงภาพรวมให้เห็นว่าเป้าหมายของเว็บไซต์นั้นคืออะไร จากนั้นจึงตัดสินใจเลือกกดเข้าดูหน้าอื่น ๆ ต่อไป โดยปกติคนที่ค้นหาสินค้าจะใส่คีย์เวิร์ดค้นหาซึ่งการแสดงผลจะลิงก์เข้าไปในหน้าสินค้าโดยตรง ผู้ที่สนใจค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมจึงจะเข้าหน้า Landing Page เพื่อทำความรู้จักเว็บไซต์เพิ่มเติมนั่นเอง โดยมากในหน้านั้นจะมีข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าที่จำหน่ายและแคมเปญการตลาด เป็นต้น

สำหรับคนที่ยังไม่รู้วิธีเลือกคีย์เวิร์ดที่เหมาะสมกับธุรกิจ ลองพิจารณาจากเว็บไซต์ของคู่แข่ง สินค้าที่อยู่ในตลาดเดียวกันสามารถใช้คีย์เวิร์ดร่วมกันได้ เว็บไซต์ชั้นนำมักจะทำ SEO โดยผ่านการวิเคราะห์ข้อมูลมาอย่างดีด้วยทีมผู้เชี่ยวชาญมืออาชีพ เพิ่มโอกาสให้คนค้นเจอบทความในเว็บไซต์ของคุณมากขึ้น หรือใช้ Google Keyword Planner เพื่อดูปริมาณการค้นหาคีย์เวิร์ดซึ่งตอบโจทย์ลูกค้าเป้าหมายได้ดียิ่งขึ้น

หากคุณเป็นมือใหม่กำลังหัดเขียนบทความให้เอื้อต่อ SEO เมื่ออ่านจบและลองทำตามวิธีการข้างต้น ใส่คีย์เวิร์ดที่ตรงกับตำแหน่งต่าง ๆ ช่วยให้คนมองเห็นบทความและทำให้เว็บไซต์ไต่อันดับไปอยู่หน้าแรก ๆ ของ Google ซึ่งจะเพิ่มโอกาสปิดการขายก่อนเว็บไซต์คู่แข่ง

เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับการทำการตลาด SEO และ SEM

การทำ การตลาดออนไลน์ แบบ SEO และ SEM เป็นสิ่งที่สามารถช่วยให้เว็บไซต์ทางธุรกิจที่จำหน่ายสินค้าและบริการทุกประเภทประสบความสำเร็จมากขึ้น โดยเฉพาะเป้าหมายในด้านยอดขายและการขยายฐานลูกค้าให้เป็นที่รู้จักทั้งในและต่างประเทศ

การตลาดทั้งสองแบบนี้ มีหลักการและข้อจำกัดที่แตกต่างกัน ที่เจ้าของธุรกิจควรทราบตั้งแต่เนิ่น ๆ เพื่อการวางแผนการปฏิบัติและหวังผลที่เหมาะสม ดังที่เรารวบรวมประเด็นมาดังนี้

มารู้จักเทคนิคการทำ SEO

SEO หรือ search engine optimization เป็นการตลาดที่เหมาะอย่างยิ่งกับธุรกิจรายย่อย หรือผู้ที่มีเงินทุนจำกัด เพราะเป็นเทคนิคที่ไม่มีค่าใช้จ่าย กล่าวคือ เมื่อผู้ทำเว็บไซต์ศึกษาวิธีการทำ SEO จากหนังสือหรือลงคอร์สเรียน แล้วนำมาศึกษาเพิ่มผ่านประสบการณ์

การอัปเดตข้อมูลในเว็บไซต์เป็นประจำ ร่วมกับการพัฒนาส่วนต่าง ๆ เพื่อสร้างความประทับใจแก่ลูกค้าในการใช้งานอย่างสม่ำเสมอ เพียงเท่านี้ ระบบ algorithm ของ Google ก็จะมาเก็บข้อมูลไปเปรียบเทียบทางเทคนิค เพื่อนำสู่การจัดอันดับแสดงผลในหน้า SERPs หรือ search engine result pages ที่ดีขึ้นได้

อย่างไรก็ตาม หากเจ้าของเว็บไซต์ไม่ถนัดทำ SEO หรือไม่มีเวลาบริหารจัดการ ก็สามารถจ้างบริษัทเอกชนที่มีประสบการณ์สูงทำเว็บไซต์ SEO ให้ก็ได้เช่นกัน

ทั้งนี้ ผู้ที่ประสบความสำเร็จในการทำ SEO แนะนำว่าต้องดูแลทั้งในส่วนโครงสร้าง การตรวจสอบลิงก์ที่เชื่อมโยงให้มีคุณภาพ ไม่มีปัญหาความผิดพลาดหรือ Error การทำ SEO ให้แก่รูปภาพประกอบ ก็สามารถช่วยเสริมอันดับในการสืบค้นให้ดีขึ้นได้

การผลิตบทความที่มีคุณภาพอย่างต่อเนื่องอัปเดตเป็นประจำทุกวันก็สำคัญ เพื่อให้ลูกค้าเกิดการจดจำและมีการเข้ามาชมสม่ำเสมอ ฯลฯ เหล่านี้ คือ เคล็ดลับการทำ SEO ที่ดี ซึ่งต้องอาศัยเวลา 3 ถึง 6 เดือน จึงเห็นผลอันดับดีขึ้นชัดเจน

SEM เทคนิคที่ต้องเรียนรู้

ส่วน SEM เป็นเทคนิคที่ย่อมาจาก search engine marketing เป็นการตลาดออนไลน์ที่ต้องมีการจ่ายเงินให้แก่ Google ในการประมูลพื้นที่ส่วนของ Sponsor และจะต้องมีการชำระให้แก่ทาง search engine เพิ่มเติม เมื่อมีผู้คลิกเข้ามาชมเป็นรายครั้ง แต่ก็นับว่าคุ้มค่า หากมีการซื้อขายสินค้าตามมา

SEM จึงเหมาะกับการเร่งกระตุ้นยอดขายในช่วงวันเทศกาล เช่น ปีใหม่สงกรานต์ คริสต์มาส หรือช่วงปลายเดือนที่ผู้คนส่วนใหญ่มีกำลังซื้อสินค้า เป็นช่วงเวลาที่กระตุ้นยอดขายได้เป็นอย่างดี

การทำ SEO และ SEM เป็นเทคนิคการตลาดที่ทุกธุรกิจบนอินเทอร์เน็ตทำควบคู่กันได้ แต่แนะนำให้มีการวางแผนว่าจะต้องทำ SEM เสริมจาก SEO ในช่วงเวลาใดของเดือนหรือปี เพื่อให้ควบคุมรายจ่ายได้ดี และได้กำไรจากการขายคุ้มค่ามากที่สุด

เราหวังว่าบทความนี้จะทำให้ผู้ที่ทำเว็บไซต์ออนไลน์เห็นถึงความแตกต่างและรับรู้ข้อจำกัดของ SEO และ SEM ที่ชัดเจนยิ่งขึ้น เพื่อเลือกใช้ให้เหมาะสมกับจังหวะเวลาและงบประมาณต่อไป

มารู้จักเทคนิคการทำ SEO

เน็ตเวิร์คส่วนตัวอาจไม่จำเป็นอีกต่อไปในยุค SEO 2017

ฟังดูค่อนข้างจะตลกดีแต่มันเป็นแบบนั้นจริงๆเพราะในเมื่อช่วงสัปดาห์หรือช่วงเดือนที่ผ่านมานี้เอง ทาง Google มีการอัพเดทอัลกอริทึม จากผลการทดลองพบว่าหลายเว็บที่ยังไม่ได้ใช้ลิงค์จากเน็ตเวิร์คส่วนตัวกับมีอันดับเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เพียงแค่ใช้วิธีการทำ Inner Links เพียงอย่างเดียวเท่านั้น กระบวนการทำ Inner Links ก็คือการทำลิงค์จากแต่ละบทความลิงค์ไปยังอีกหนึ่งบทความที่มีความเกี่ยวข้องและสัมพันธ์กัน เป็นการโยงเครือข่ายลิงค์ภายในเว็บไซต์เดียวกัน ไม่ใช่จากเว็บไซต์อื่นลิงค์เข้ามายังอีกเว็บไซต์หนึ่ง ซึ่งวิธีการทำรูปแบบนี้ปัจจุบันกลับได้ผลดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ยกตัวอย่างเช่นเรามีบทความเนื้อหาเกี่ยวกับ SEO แล้วมีการทำลิงค์คำว่า SEO ไปยังอีกหนึ่งบทความที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับข้องกัน หน้าที่มีลิงค์ไปหา อาจจะติดอันดับขึ้นมาเองโดยอัตโนมัติได้เลย ไม่จำกัดว่าจะเป็นคำค้นหาหลักหรือคำค้นหายย่อย

SEO 2017 มีแนวทางอย่างไรเรื่อง PBN

ปัจจุบันนี้พูดตรงตรงก็คือ Google เริ่มให้ความสำคัญกับการใช้ออนเพจมากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตามในเรื่องของเน็ตเวิร์คส่วนตัวยังมีความจำเป็นอยู่บ้าง เพียงแค่เราอาจจะลดต้นทุนลงมาได้ค่อนข้างเยอะจากเมื่อก่อนการที่จะดันคีย์เวิร์ด A ต้องใช้ลิ้งจาก PBN ประมาณ 100 โดเมน แต่ปัจจุบันอาจจะใช้แค่ 20 โดเมน สังเกตได้จากการไปสปายกลุ่มคำค้นหาที่คู่แข่งเยอะ ผลบอลสด เกมส์ ดูทีวีออนไลน์ พวกนี้หลายเว็บที่ติดหน้าแรกไม่ได้มีแหล่งลิงค์เยอะ ก็จะทำให้เราประหยัดต้นทุนไปได้ค่อนข้างเยอะพอสมควรเลยทีเดียวหากว่าเราเป็นนัก SEO ที่รู้จักบริหารเรื่องเงิน สิ่งเหล่านี้มีความจำเป็นอย่างมาก เราควรจะศึกษาออนเพจทำให้มันดีตั้งแต่ในระดับพื้นฐาน ให้เว็บไซต์เรามีพื้นฐานเรื่องอันดับเว็บที่ดี ส่วนเรื่องลิงค์นั้นเป็นปัจจัยภายนอก ซึ่งเราก็สามารถหามาได้เติมเต็มอยู่ตลอดในระดับที่เหมาะสม เพียงแค่นี้อันดับเว็บไซต์ของเราก็จะมั่นคงแล้ว

ต้องการเป็นนักทำอันดับเว็บไซต์ที่ดี การทำ SEO 2017 ต้องหาความรู้อยู่สม่ำเสมอ ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงไปตามกลไกการจัดอันดับ รับรองว่าอาชีพนี้จะตอบโจทย์เราและพาเรามีเงินเก็บไปได้อย่างต่อเนื่องแน่นอน ตราบที่คนอย่างนิยมการค้นหาผ่านเว็บไซต์อยู่

SEO 2017 PBN ยังใช้ได้อยู่ไหม ?

ในแต่ละปีจะมีการอัพเดทอัลกอริทึมของ Google อยู่ตลอดเวลา บางช่วงก็จะมีการส่งผลว่า บล็อกเน็ตเวิรคส่วนตัวอาจจะส่งผลเรื่องของอันดับได้ไม่ดีนัก แต่ในบางช่วงก็จะส่งผลดีอย่างมากหากได้รับแบคลิ้งค์จาก PBN หรือก็คือเน็ตเวิร์คส่วนตัวนั่นเอง ทีนี้ในปี 2017 แต่ละช่วงก็จะมีการเปลี่ยนแปลงของอันดับอยู่ตลอดเวลาทำให้นักทำ SEO บางคนเริ่มสงสัยว่าการใช้เน็ตเวิร์คส่วนตัวดันอันดับยังสามารถทำได้หรือไม่ แล้วคุ้มค่ามากแค่ไหนกับการลงทุนที่จะสร้างเน็ตเวิร์คเป็นหลาย 100 โดเมน เพราะการลงทุนสร้างบล็อกเครือข่ายส่วนตัวแต่ละครั้งอาจจะใช้เงินหลักแสนหรือหากสร้างหลาย 100 โดเมนก็อาจจะต้องเสียงเงินเกือบ 1,000,000 ต่อปีเลยก็ว่าได้ อยู่ที่คุณภาพของโดเมนที่เรานำมาสร้างเป็นบล็อกเน็ตเวิร์คนั่นเอง

ต้องบอกตามตรงว่าปัจจุบันการใช้เน็ตเวิร์คส่วนตัวยังคงดันอันดับได้อยู่เหมือนเดิม แถมอาจจะส่งผลดีซะด้วยซ้ำหากว่า PBN เหล่านั้นได้ใช้ Hosting จากกลุ่มที่เป็น Cloud Server จุดนี้เป็นจุดสำคัญของการเปลี่ยนแปลงในธุรกิจโฮสติ้งทั่วโลกเมื่อระบบ Cloud Server ถูกนำมาใช้จนเป็นที่นิยมของนักทำเว็บไซต์ทั่วไป การที่เราสร้างบล็อกเน็ตเวิร์คอยู่บนการเช่า host เซิร์ฟเวอร์ที่เป็นระบบคลาวย่อมส่งผลดีมาก กว่าซึ่งผู้เขียนเองได้ลองทดสอบในการทำอันดับมาแล้ว

อย่าลืมเรื่อง Footprint พื้นฐานของ PBN

แต่ในทางกลับกันก็จำเป็นที่จะต้องสร้างบล็อกของเราให้ไม่ทิ้งรอยเท้าไม่ให้บอทของ Google สามารถตรวจสอบได้ว่ามีลิงค์เชื่อมโยงหากันไปยังเว็บไซต์เดียวกันเยอะเกินไป จนในที่สุดก็จะโดน Google DeIndex ได้ง่าย ที่สำคัญ การสร้างเนื้อหาของบล็อกให้อยู่ในรูปแบบเกี่ยวพันกับเนื้อหาเว็บไซต์ไปทางที่เราจะเชื่อมโยงไปย่อมส่งผลดีกว่าการสร้างบล็อกที่มีเนื้อหาทั่วไปไม่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับเว็บไซต์ปลายทางของเรา จุดนี้ยังคงใช้ได้ดีตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ที่สำคัญคือต้องไม่ทิ้ง Footprint ให้ Google สามารถติดตามได้

การสร้าง PBN ก็คือการสร้างเว็บไซต์ขนาดย่อม หากเนื้อหาของบล็อกเรามีประโยชน์ต่อผู้อ่านสร้างได้เหมือนกับมินิบล็อคขนาดเล็ก มีคนสนใจ มีการให้ความเห็นอยู่ต่อเนื่อง ก็เปรียบเสมือนว่าเว็บบล็อกของเราเว็บนั้นแทบจะไม่มีโอกาสจะโดน Google แบนได้เลย แต่หากว่าเป็นเนื้อหาที่ไร้ประโยชน์มีการสปินเปลี่ยนบทความมาใช้ การที่ Robots Google จะตรวจสอบก็คงไม่ยากเกินกำลัง และท้ายที่สุดเราก็จะเป็นคนขาดทุน ดังนั้นในปี 2017 การใช้ PBN ยังคงทำมันดับได้ดีเหมือนเดิม และเราต้องไม่ลืมเรื่องการไม่ทิ้งรอยเท้าให้โดนตรวจสอบได้ง่าย เพียงแค่นี้ การทำอันดับ SEO ก็ไม่ยากเกินกำลังอีกต่อไป

ปัญหาของการสร้าง SEO Backlinks จากเน็ตเวิร์คแล้วมักจะโดนแบน

นักทำ SEO สายใจร้อนคงจะปฏิเสธเรื่องนี้กันไม่ได้แน่นอน จริงๆก็ไม่ใช่แค่นักทำ SEO ที่อารมณ์ร้อนง่ายเท่านั้น ยังรวมไปถึงมือใหม่หัดทำ SEO อีกด้วย การออกแบบเน็ตเวิร์คนั้นค่อนข้างมีความสำคัญอย่างยิ่งในการที่จะใช้เป็นฐานลิงค์ไว้ส่งข้อมูลเข้าเว็บไซต์ทำเงิน หากแหล่ง Backlinks นั้นมีคุณภาพ มากจากเว็บ Blog ขนาดเล็กหรือมาจากแหล่งเว็บบันเทิงขนาดใหญ่ก็ตาม ขอแค่เป็นเว็บที่โตอย่างธรรมชาติและไม่เข้าข่ายการสแปม ลิงค์เหล่านั้นล้วนถือว่าสำคัญต่อการทำ SEO ทั้งสิ้น ข้อสำคัญในการสร้าง Backlinks ที่ดีให้กับเว็บไซต์เป้าหมายของเรา นั่นคือลิงค์เหล่านั้นควรจะต้องเป็นลิงค์ที่มีความเกี่ยวข้องกับเนื้อหาเว็บไซต์ปลายทาง หรือถ้าเป็นลิงค์จากเว็บที่เกี่ยวข้องกันโดยตรงได้ก็ยิ่งเป็นเรื่องดีมาก เพราะมันมีความสอดคล้องของเรื่องราว Google ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นอย่างดี ใครที่มีประสบการณ์ทำ SEO มายาวนานจะรู้ดีว่าความสำคัญของเนื้อหาจากเว็บปลายทางและเว็บต้นทาง จะมีส่วนช่วยให้การทำ SEO ง่ายขึ้นในระยะยาว ทนทานต่อการปรับเปลี่ยนอัลกอริทึ่มทุกไตรมาส

ผู้ให้บริการรับทำ SEO หน้าใหม่หลายคนจะพยายามเสาะหาวิธีใหม่ๆที่ทำแล้วอันดับขึ้นไว ทางลัดต่างๆ ซึ่งเข้าข่าย SEO Black Hat ถามว่ามันมีข้อดีไหมก็ต้องบอกว่ามี คือบางทีอาจจะทำอันดับได้ไว ง่ายกว่า ประหยัดต้นทุนเมื่อเทียบกับการทำ SEO สายคุณภาพ แบบ ณ เวลาที่เขียนบทความนี้ การทำ Black Hat ในรูปแบบการสแปมลิงค์และถัวเฉลี่ยเว็บทำอันดับได้กับโดนเก็บทิ้งไป ก็เป็นเรื่องที่ดีไม่น้อย เป็นช่องโหว่เล็กๆสำหรับสายดำในเวลานี้พี่พอจะทำกินได้ แต่ในอนาคตเว็บที่กำลังทำ SEO โดยวิธีสแปมลิ้งอยู่ก็จะต้องโดนเก็บไป วิธีดันอันดับที่มั่นคงที่สุดในกรณีของ Off Page นั่นคือการใช้เน็ตเวิร์คส่วนตัวมาช่วยดันอันดับ วิธีนี้จะช่วยดันอันดับได้ดีไม่น้อยแต่ต้องรู้จักสร้างความหลากหลายและใจเย็นให้ได้พอสมควร เน็ตเวิร์คที่มักจะโดนแบนก็เพราะว่ามีการใส่ลิงค์เข้าไปเยอะมากเกินเมื่อเทียบกับจำนวนบทความหรือเนื้อหาที่มีในเว็บเน็ตเวิร์คนั้นๆ หรือไม่ก็มีการทิ้งรอยเท้าเด่นชัดให้ตรวจสอบได้ง่ายทั้งบอท Google และผู้ตรวจสอบจากทางทีมงาน Google

วิธีเลี่ยงไม่ให้เน็ตเวิร์คโดนแบนเบื้องต้น

  • ทำลิงค์ออกให้หลากหลาย
  • อย่าทำลิงค์ออกซ้ำๆกันในทุกเว็บเน็ตเวิร์ค
  • วางแต่ละเว็บไว้ต่าง Location กันอย่างชัดเจน
  • ปกปิดรอยเท้าต่างๆที่สามารถตามได้ง่าย

จริงๆทาง Annugraphix.com ได้มีการเขียนบทความเหล่านี้ไว้เยอะพอสมควรแล้ว เพื่อนๆที่หัดทำ SEO ด้วยวิธีการดันจากเน็ตเวิร์คส่วนตัว สามารถลองไล่อ่านดูได้เลย นอกจากนี้ เคล็ดลับการดันอันดับที่ดีอีกข้อนึงคือการจดชื่อโดเมนเป็นคีย์เวิร์ด เช่นถ้าเราต้องการทำคีย์เวิร์ค FIFA55 การจดโดเมน www.fifa55.com ก็ย่อมดีกว่าการจดโดเมน www.lenball55.com เพราะชื่อโดเมนมีส่งสำคัญไม่น้อยที่จะบ่งบอก Google ว่าเว็บของเราเกี่ยวกับอะไร แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมดเช่นกัน ถึงจะจดโดเมนไม่ตรงคีย์เป๊ะก็ไม่ใช่ว่าจะทำอันดับไม่ได้ ค่อยทำไปเรื่อยๆเดี๋ยวมันก็มาเองแหละถ้าเรามีความเข้าใจและตั้งใจที่จะทำให้เว็บไซต์เป้าหมายมีอันดับดีขึ้น

ทำ PBN ให้มีพลังด้าน SEO สูงสุด

บทความก่อนหน้าในเว็บแห่งนี้ ได้มีการพูดถึงเรื่องของเน็ตเวิร์คบล็อกที่สร้างในรูปแบบ Relevance ไปบ้างแล้ว เพื่อให้มือใหม่สามารถมองเห็นภาพได้ดีขึ้น บทความนี้เราจะมาอธิบายเพิ่มเติมกันอีกสักนิดเกี่ยวกับเรื่องของ Relevance Private Blog Network สำหรับจุดเด่นของการสร้างบล็อกเน็ตเวิร์คที่มีเรื่องราวเกี่ยวข้องกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งเพียงอย่างเดียว มันเปรียบเหมือนกับว่า เว็บบล็อกของเหล่านั้น มีกลุ่มเป้าหมายเดียวกัน เช่น เราขายเครื่องเพชร แหวนเพชรราคาถูก แน่นอนว่าเว็บไซต์ทำเงินของเราก็ต้องเกี่ยวกับกิจการขายเพชร และหากเราสร้าง Private Blog Network ขึ้นมาสักจำนวนหนึ่ง โดยแต่ละบล็อกมีเรื่องราวเกี่ยวกับเพชรโดยตรง เวลา Search Engine อย่าง Google เข้ามาเก็บข้อมูล บอทของ Search Engine จะรู้ว่าเรื่องราวของแต่ละบล็อกเกี่ยวข้องกับเรื่องราวอะไร และหากเห็นว่ากลุ่ม PBN ของเรานี้ มีการเชื่อมโยงไปยังเว็บไซต์ขายแหวนเพชรของเรา จะทำให้ Search Engine มองว่าเว็บไซต์ขายแหวนเพชรของเรามีแหล่งการเชื่อมโยงของลิงค์ที่เหมาะสมกับเว็บไซต์โดยตรง ผลที่ตามมาคืออันดับของเว็บไซต์เราจะดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

PBN ทั้งแบบ General และแบบ Relevance

ข้อเสียของการทำ PBN ในรูปแบบ Relevance Blog ก็คือมันจะมีต้นทุนสูงกว่าเยอะมากถ้าเทียบในจำนวนโดเมนเท่ากันที่สร้าง PBN ในรูปแบบของ Blog เรื่องราวทั่วไปไม่ได้เฉพาะกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ซึ่งมันก็มีทั้งข้อดีและเสียในทั้ง 2 แบบ อยู่ที่เรามีความต้องการสร้างแบบไหนซะมากกว่า ถ้าเป็นกรณีที่เราทำกิจการเพียงอย่างเดียว หรือหลายกิจการแต่ทุกกิจการมีความเกี่ยวข้องกัน ยกตัวอย่าง กิจการแรกทำเว็บการพนันกลุ่มของ ทางเข้า Gclub ส่วนกิจการที่สองทำเว็บไซต์กลุ่มพนันเช่นกัน แต่เป็นกลุ่มของ W88 ซึ่งทั้ง 2 กลุ่มนี้ก็อยู่ในเรื่องของการพนันออนไลน์เหมือนกัน การสร้าง Private Blog Network ในรูปแบบ Relevance จะมีประโยชน์กว่า

แต่ในทางกลับกัน ถ้าทำกิจการแรกทำเว็บเกี่ยวกับแหวนเพชร ส่วนอีกกิจการขายอาหารเสริมความงาม ถ้าแต่ละกิจการต่างกลุ่มกัน ควรสร้าง Private Blog Network ที่เป็นแบบทั่วไป (General) เพื่อให้สามารถสร้างการเชื่อมโยงลิงค์ไปยังเว็บของทั้งสองกิจการได้ หากเราทำ PBN แยกวงออกมาให้แต่ละกิจการ อย่าทำเว็บ หนังเอ็กซ์ ก็ทำวงแยกออกมา จะทำให้เปลืองเงินมากกว่าเดิมเป็นเท่าตัว เมื่อผลลัพธ์ต่างกันไม่เยอะมาก เราก็ไม่จำเป็นต้องสร้างแยกวง แต่อาจจะเอาเงินที่กะจะสร้างแยกวงมาเพิ่มจำนวนโดเมนและใช้วงเดียวร่วมกันจะดีกว่า