หมวดหมู่: SEO Guru

การทำ SEO ส่งผลดีต่อเว็บไซต์อย่างไร

SEO หรือ Search Engine Optimization เป็นกระบวนการที่ใช้เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือและความน่าสนใจของเว็บไซต์ในสมมติฐานของเครื่องมือค้นหา เช่น Google, Bing, หรือ Yahoo ทำให้เว็บไซต์ของคุณมีโอกาสที่จะปรากฏขึ้นในผลการค้นหาสูงขึ้น โดยมีผลดีหลายประการดังนี้

– เพิ่มปริมาณการเข้าชมเว็บไซต์ การปรับปรุง SEO จะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณปรากฏในผลการค้นหาอย่างมากมาย ซึ่งส่งผลให้มีผู้เข้าชมมากขึ้น เนื่องจากผู้คนมักจะคลิกเข้าไปในเว็บไซต์ที่ปรากฏในผลการค้นหาแรกๆ

– เพิ่มยอดขายและธุรกิจ การปรับปรุง SEO ทำให้เว็บไซต์ของคุณมีโอกาสที่จะถูกค้นหาและเยี่ยมชมมากขึ้น ซึ่งอาจส่งผลให้มีการเพิ่มยอดขายหรือการเติบโตของธุรกิจ

– เสถียรภาพในองค์กร เมื่อเว็บไซต์ของคุณปรากฏในผลการค้นหาอย่างมั่นคง นั่นจะช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดีต่อองค์กร และเสริมความน่าเชื่อถือให้กับผู้ใช้

– ลดค่าใช้จ่ายในโฆษณา เมื่อเว็บไซต์ของคุณมีการปรับปรุง SEO อย่างเหมาะสม มันอาจช่วยลดค่าใช้จ่ายในการโฆษณาออนไลน์ เนื่องจากคุณอาจไม่ต้องใช้เงินเพื่อการโฆษณาเพื่อให้เว็บไซต์ของคุณปรากฏในผลการค้นหา

– ปรับปรุงประสิทธิภาพเว็บไซต์ การทำ SEO บ่งบอกถึงการปรับปรุงโครงสร้างและเนื้อหาของเว็บไซต์ ซึ่งอาจส่งผลให้เว็บไซต์ของคุณมีประสิทธิภาพมากขึ้นทั้งในเรื่องของความเร็วและประสิทธิภาพในการทำงาน

– การเปิดโอกาสให้กับเว็บไซต์ การปรับปรุง SEO ช่วยเปิดโอกาสให้กับเว็บไซต์ของคุณได้รับการเข้าถึงโดยกลุ่มเป้าหมายที่ใหญ่ขึ้น เนื่องจากผู้ใช้ค้นหาสิ่งต่างๆ อย่างมากมายในเครื่องมือค้นหา

การทำ SEO ไม่ได้มีผลดีเฉพาะเท่านั้น แต่ยังช่วยให้เว็บไซต์ของคุณเป็นไปได้มากขึ้นที่จะสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้ใช้ และเพิ่มโอกาสในการเผยแพร่ข้อมูลหรือสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายของคุณได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย

อยากทำ SEO ให้ประสบความสำเร็จ

การทำ SEO เพื่อให้เว็บไซต์หรือเนื้อหาของคุณประสบความสำเร็จมีหลายขั้นตอนและกลยุทธ์ที่สามารถนำมาใช้ได้ ต่อไปนี้คือขั้นตอนสำคัญที่ควรพิจารณาเพื่อทำ SEO ให้ประสบความสำเร็จ

การค้นหาคำสำคัญ (Keyword Research)

หาคำสำคัญที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาของคุณ โดยใช้เครื่องมือค้นหาคำสำคัญออนไลน์ เช่น Google Keyword Planner, SEMrush, หรือ Ahrefs

เลือกคำสำคัญที่มีประสิทธิภาพและมีประเด็นที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาของคุณ

การสร้างเนื้อหาที่มีคุณค่า (Content Creation)

สร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพและน่าสนใจสำหรับผู้อ่าน

ให้เนื้อหามีความเชื่อมโยงกับคำสำคัญที่เลือกไว้

การเขียนเนื้อหาที่มีความยาวเพียงพอ เพื่อให้มีข้อมูลมากพอที่จะเป็นประโยชน์แก่ผู้อ่านและโดยเฉพาะเมื่อมีการทำ SEO

การปรับแต่งเว็บไซต์ (On-Page SEO)

ใช้คำสำคัญในเนื้อหา โดยเฉพาะในส่วนของหัวเรื่อง (Headings) และ Meta Tags

จัดลำดับและตั้งชื่อไฟล์ภาพให้สอดคล้องกับคำสำคัญ

ปรับปรุงความเร็วในการโหลดของเว็บไซต์ (Website Speed)

สร้าง URL ที่สื่อความหมายและสั้นกระชับ

การสร้างลิงก์ (Link Building)

สร้างลิงก์ที่มีคุณภาพจากเว็บไซต์อื่นที่เกี่ยวข้อง

การใช้เครื่องมือตรวจสอบลิงก์ที่เข้ามา (Backlink Checker) เพื่อติดตามลิงก์และวิเคราะห์คุณภาพของลิงก์

การติดตามและวิเคราะห์ผล (Tracking and Analysis)

ใช้เครื่องมือวิเคราะห์เว็บไซต์ เช่น Google Analytics เพื่อติดตามการเยี่ยมชมเว็บไซต์และพฤติกรรมของผู้เข้าชม

ทำการวิเคราะห์ความสำเร็จของกลยุทธ์ SEO และปรับปรุงตามผลลัพธ์ที่ได้

การทำ SEO ไม่ใช่เรื่องที่จะทำเสร็จภายในเวลาสั้น มันต้องเป็นกระบวนการที่ต้องทำต่อเนื่อง เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีและยั่งยืนในระยะยาว อย่าลืมที่จะปรับปรุงและปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ของคุณตามผลลัพธ์ที่ได้เสมอด้วย และอย่าลืมว่าความสำเร็จใน SEO มักจะเกิดขึ้นในระยะเวลาที่ยาวนาน จึงต้องมีความตั้งใจและความอดทนในการดำเนินการด้วย

เหตุผลว่าทำไมธุรกิจออนไลน์ถึงควรเลิกยิง Ads แล้วหันมาทำ SEO แทน

หนึ่งทางเลือกในการเพิ่มโอกาสการเข้าถึงลูกค้าให้มากขึ้นของธุรกิจก็คือการยิง Ads โฆษณาบนแพลตฟอร์มออนไลน์ต่าง ๆ โดยเฉพาะพวกโซเชียลมีเดีย แล้วหวังว่าธุรกิจจะมีคนหันมาสนใจสินค้าและตัดสินใจซื้อสินค้ามากขึ้น รวมไปถึงการจ่ายให้กับ Google เพื่อสร้างทางลัดให้ธุรกิจสามารถขึ้นมาอยู่บนอันดับต้น ๆ ของการค้นหา

ซึ่งนี่ดูเหมือนจะเป็นเรื่องดีที่สะดวก ง่าย และเห็นผลทันที แต่รู้หรือไม่ว่าการได้มาอยู่ในอันดับต้น ๆ ของการค้นหา ไม่สามารถการันตีผลสำเร็จของธุรกิจได้ และต่อไปนี้ก็คือเหตุผลว่าทำไมการทำ SEO จึงเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจกว่า

1. เสียค่าใช้จ่ายสูง อย่างที่รู้กันดีว่าการยิง Ads มีค่าใช้จ่ายที่สูงไม่น้อย ซึ่งนั่นก็คือต้นทุนของธุรกิจ และถ้าธุรกิจต้องพึ่งการสร้างรายได้ผ่านการโหมโฆษณาหนัก ๆ จะทำให้ธุรกิจต้องแบกต้นทุนการตลาดสูง กำไรก็จะลดลง ยิ่งทำมากยิ่งเสี่ยงที่จะขาดทุนมากเพราะค่าใช้จ่ายจะสูงขึ้นเรื่อย ๆ

2. คนมักไม่ชอบโฆษณา เราเชื่อว่าทุกคนถ้านั่งดูอะไรอยู่แล้วมีโฆษณาโผล่ขึ้นมา ถ้ากด Skip ได้ ก็พร้อมจะกดทันที นั่นรวมไปถึงอันดับการค้นหาบน Google ด้วย ที่หลายคนมักเลือกมองข้ามธุรกิจที่ซื้อโฆษณา แต่จะเลือกไปคลิกเอาหน้าเว็บที่ได้อันดับมาแบบ Organic มากกว่า

3. การได้ลูกค้าที่ตรงกลุ่ม ส่วนใหญ่เวลายิง Ads บนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย ธุรกิจจะต้องเลือกว่าจะนำเสนอสินค้าไปยังกลุ่มเป้าหมายใดที่เป็นกลุ่มเป้าหมายจากการวิเคราะห์ตลาด แต่การทำ SEO จะช่วยให้ธุรกิจได้เข้าถึงลูกค้าตัวจริงมากกว่า จากการเลือกเข้ามาอ่านคอนเทนต์ SEO บนเว็บไซต์

4. ความสำเร็จในระยะยาว ข้อเสียอย่างหนึ่งของการจ่ายเงินเพื่อซื้อ Ranking หรือยิง Ads ให้คนเห็นธุรกิจคือถ้าหยุดจ่ายทุกอย่างก็จะจบ แต่ถ้าเป็นการทำ SEO จะเป็นความสำเร็จในระยะยาว เพียงแค่ทำอย่างต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ เป็นความสำเร็จระยะยาวที่คุ้มค่า

5. โอกาสซื้อที่มากกว่า อย่างที่บอกว่าคนมักกดข้ามโฆษณาและคิดว่าการจ่ายเงินเพื่อขึ้นมาอยู่บนอันดับต้น ๆ ของ Google เป็นอะไรที่ไม่น่าสนใจ แต่ถ้าเป็นเว็บไซต์ที่มีการทำคอนเทนต์ SEO คุณภาพ จะมีแนวโน้มทำให้เกิดการวางใจและเป็นปฏิสัมพันธ์ที่ดีกว่า และการสื่อสารเนื้อหาที่ลูกค้าสนใจก็จะกระตุ้นให้เกิดการตัดสินใจซื้อได้มากกว่าด้วย

เพราะการเลือกทำ SEO ด้วยการใช้บทความคุณภาพ จะช่วยสร้างความยั่งยืนให้กับการทำการตลาดของธุรกิจออนไลน์ได้เห็นผลมากกว่า ถึงแม้จะเป็นวิธีที่ค่อนข้างใช้เวลาสักหน่อย แต่รับรองเลยว่าในระยะยาวแล้วคุ้มกว่าการเสียเงินไปกับการจ้างยิง Ads แน่นอน

อยากปัง ต้องรู้ SEO คืออะไร พร้อมแชร์เคล็ดลับในการทำ SEO ให้ดังกว่าเดิม

ปัจจุบันอินเทอร์เน็ตเข้ามามีส่วนร่วมในชีวิตประจำวันมากขึ้น ไม่ว่าจะไปเที่ยวที่ไหน เดินทางอย่างไร ร้านอาหารไหนอร่อย รู้หมด พร้อมรีวิวทั้งในส่วนของบทความหรือแม้แต่วีดีโอ ล้วนใช้ Search Engine ในการค้นหาทั้งนั้น โดยเฉพาะ Google หนึ่งใน Search Engine ที่ได้รับความนิยมจากผู้ใช้งานมากที่สุดในโลก

จากสถิติของ Internet live stats ในปี 2020 พบว่ามีคนใช้ Google ในการค้นหามากกว่า 3.5 พันล้านครั้ง จนมีคำพูดติดปากของใครหลาย ๆ คนว่า นึกอะไรไม่ออก ให้ถามอากู๋ (Google) รับรองได้ว่าจะพบกับเรื่องราวทุกอย่างที่อยากค้นหาอย่างแน่นอน

SEO เกี่ยวข้องอย่างไร

SEO ย่อมาจาก Search Engine Optimization ซึ่งก็คือการปรับแต่งเว็บไซต์ เพจ คลิปวิดีโอให้ตรงตามข้อกำหนดของ Search Engine นั้น ๆ เพื่อให้สามารถค้นหาเพจ เว็บไซต์หรือคลิปวิดีโอให้ติดลำดับต้น ๆ ของการค้นหาได้ ส่งผลให้เว็บไซต์ เพจหรือคลิปวิดีโอได้รับการเยี่ยมชมเพิ่มมากขึ้นและเป็นโอกาสทางธุรกิจบนโลกออนไลน์ที่จะทำให้คุณประสบความสำเร็จได้

เทคนิคในการทำ SEO

ซึ่งเทคนิคและวิธีการทำ SEO ก็ไม่ยากเกินไปและไม่ง่ายเกินไป หากแต่ต้องเข้าใจถึงกระบวนการและวิธีคิดของ AI ของ Search Engine รวมถึง กฎ ระเบียบและข้อห้ามต่าง ๆ ที่ Search Engine กำหนดขึ้นมา เพียงเราแต่ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด รับรองได้เลยว่าโอกาสประสบความสำเร็จมีสูงมาก โดยวันนี้จะมาแนะนำเคล็ดลับให้สามารถทำ SEO ด้วยตนเองง่าย ๆ ดังนี้

KEY WORD

เชื่อได้ว่าทุกคนเวลาที่ต้องการจะค้นหาอะไร จะต้องใส่ คำ ที่ต้องการค้นหา ซึ่งเราจะเรียกว่า Key word เช่น หากคุณทำเว็บไซต์เกี่ยวกับ ปุ๋ย คีย์เวิร์ดที่สำคัญนอกจากคำว่า ปุ๋ยแล้ว อาจต้องมีคำใกล้เคียง เช่น ธาตุอาหารพืช, ธาตุอาหารหลัก, ไนโตรเจน, ฟอสฟอรัส, โพแทสเซียม, ปุ๋ยอินทรีย์, ปุ๋ยเคมี หรือ NPK เป็นต้น โดยคีย์เวิร์ดดังกล่าวจะต้องผ่านการวิจัยและเป็นที่ยอมรับแล้วว่ามีอัตราการค้นหาในระดับหนึ่ง

สร้างคอนเทนต์ที่มีคุณภาพ

ในเว็บไซต์ เพจหรือแม้แต่คลิปวิดีโอ จำเป็นจะต้องได้รับการอัปเดตใหม่อยู่เสมอ ยิ่งถ้าเป็นคอนเทนต์ที่ทำใหม่ มีคุณภาพ ไม่มีการคัดลอก มีความน่าสนใจก็จะช่วยให้ได้รับความนิยมมากขึ้น ซึ่งการสร้างคอนเทนต์ก็จะมีเทคนิคและวิธีการทำที่แยกย่อยไปอีก

รองรับทุกการใช้งาน

ปัจจุบันไม่เพียงแค่คอมพิวเตอร์เพียงอย่างเดียวเท่านั้นที่เข้าใช่งานอินเทอร์เน็ตได้ แต่ยังมีทั้งมือถือสมาร์ทโฟน แท็ปเลต สมาร์ททีวีและอุปกรณ์อื่น ๆ ดังนั้น เว็บไซต์ เพจหรือคลิปวิดีโอที่ทำขึ้นต้องรองรับการใช้งานอุปกรณ์เหล่านี้ด้วย โดยเฉพาะอุปกรณ์สมาร์ทโฟนที่มีอัตราการเติบโตเพิ่มมากขึ้นในปัจจุบัน

ใช้ Social ให้เป็นประโยชน์

การทำคอนเทนต์ไม่จำกัดเพียงแค่เว็บไซต์เท่านั้น หากแต่ยังสามารถทำในในส่วนของโซเชียลมีเดียในช่องทางต่าง ๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็น Facebook, Youtube หรือ Tiktok ก็จะช่วยทำให้เราเป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้นและตรงเป้าหมายได้ดีกว่าที่อาศัยการทำคอนเทนต์เพียงช่องทางเดียว

สำหรับใครที่ต้องการให้เว็บไซต์ของตนเองเป็นที่รู้จักและเพิ่มยอดขายให้ปังกว่าเดิม ก็อย่าลืมศึกษาในส่วนของเทคนิคและวิธีการทำ SEO เพิ่มเติม บอกเลยยอดขายกระฉูดแถมฟรีอีกด้วย

ทำไมต้องทำ SEO ในเมื่อสามารถที่จะซื้อโฆษณาให้เว็บไซต์ได้

ปัจจุบันตลาดออนไลน์ในประเทศไทยมีมูลค่าทางการตลาดที่สูงมาก แตกต่างจากช่วง 10 ปี ที่ผ่านมาเป็นอย่างมาก แม้แต่ห้างสรรพสินค้าและแบรนด์สินค้าชื่อดังก็กระโดดร่วมวงในการขายสินค้าออนไลน์แข่งกับเค้าด้วย ทำให้เกิดการแข่งขันในวงกว้าง โดยเฉพาะการโฆษณาออนไลน์ มีการอัดค่าโฆษณาด้วยเม็ดเงินมหาศาลเพื่อจับจ้องพื้นที่สื่อโซเชียลให้เห็นสินค้าของตนเองตลอด 24 ชั่วโมง แต่ด้วยการปรับเปลี่ยนอัลกอริทึมของ Search Engine และ Facebook ทำให้การโฆษณาอาจไม่มีความหมายอีกต่อไป หากคุณไม่ได้รับการพัฒนาเว็บไซต์ให้มีคุณภาพ ตามหลักเกณฑ์ของ Search Engine ที่มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบของการค้นหาให้เป็นแนวทางที่มีความยั่งยืนและเน้นการเป็นผู้ให้ข้อมูลและความรู้แก่คนที่ติดตามอย่างแท้จริง จึงเป็นที่มาว่าทำไมต้องทำ SEO มากกว่าที่จะมุ่งเน้นไปที่การซื้อโฆษณาเพียงอย่างเดียว

User เน้นการคลิกไปที่การค้นหาแบบ Organic Search

หากคุณเป็นคนหนึ่งที่ใช้ Google ในการค้นหาข้อมูล จะพบว่ามีเว็บไซต์ต่าง ๆ ถูกจัดเรียงลำดับให้ โดนในช่วง 1-5 ข้อมูลที่ Google ค้นหามาให้จะเป็นเว็บไซต์ที่ผ่านการยิงแอด หรือมีคำว่า โฆษณา ติดแนบท้าย รู้หรือไม่ว่า User ส่วนใหญ่มักจะคลิกเลือกในลำดับถัด ๆ มาที่ไม่มีโฆษณามากกว่า นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมถึงต้องทำ SEO เพราะคนส่วนใหญ่เลือกที่จะคลิกเลือก Organic Search มากกว่า Paid Search นั่นเอง

การทำ SEO ใช้เงินลงทุนต่ำหรือแทบไม่ได้ใช้เลย

หากคุณซึ่งเป็นเจ้าของกิจการที่ทำเว็บไซต์เอง มีทีมงานในการประชาสัมพันธ์และรู้หลักการทำ SEO อาจไม่ต้องเสียค่าจ้างบุคคลภายนอกในการทำ SEO หรือหากต้องว่าจ้างก็ใช้เงินลงทุนที่ต่ำ ในขณะที่ผลการจัดอันดับการค้นหาก็จะอยู่ในอันดับที่ดีในระยะยาว ไม่ใช่แค่ขึ้นติด Top Chart เพียงข้ามคืนก็หายไปเสียแล้ว

ลดต้นทุนในการโฆษณา

แม้การทำ SEO จะใช้ระยะเวลาที่นานกว่าที่เว็บไซต์จะสามารถติดอันดับตามที่ต้องการได้ ก็จะช่วยให้คุณลดต้นทุนในการยิงแอดลงไปได้ เพราะหากคอนเทนต์หรือเว็บไซต์ของคุณมีเนื้อหาที่ตอบโจทย์และแก้ไขปัญหาให้คนจำนวนมากได้ ก็จะทำให้การไต่อันดับขึ้นไปอยู่ลำดับต้น ๆ ของการค้นหาคงไม่ยาก

เว็บไซต์มีคุณภาพมากขึ้น

รู้หรือไม่ว่าการที่เว็บไซต์มีคนนำข้อมูลไปอ้างอิงมาก ๆ ก็ส่งผลต่อการจัดอันดับในการค้นหาของ Search Engine ด้วย โดยเฉพาะเว็บไซต์ที่ดี มีคุณภาพ นำเสนอข้อมูลที่ถูกต้อง ชัดเจน เมื่อมีคนนำบทความ หรือแหล่งที่มาแล้วอ้างอิงเป็นเว็บไซต์ของคุณ จำนวนมาก ๆ ก็จะทำให้ Search Engine มองว่าเว็บไซต์ของคุณมีคุณภาพและจัดอันดับให้อยู่ต้น ๆ ของการค้นหาด้วย

เห็นหรือยังว่าการทำ SEO มีความสำคัญต่อเว็บไซต์อย่างไร หากคุณต้องการที่จะเป็นหนึ่งในใจของ Search Engine จะต้องทำตามกฎ ระเบียบและข้อบังคับของ Search Engine เพื่อให้เว็บไซต์มีคุณภาพและยั่งยืนต่อไปในอนาคตได้

AI google จะมา disrupt วงการ SEO จริงหรือ

นับว่าเป็นข่าวใหญ่แห่งปี 2022 ที่ google ได้เปิดตัวระบบอัลกอริทึมล่าสุดชื่อว่า “MUM” อันมีคุณลักษณะคล้ายกับมนุษย์เป็นอย่างมาก ซึ่ง AI ตัวนี้ได้ถูกสร้างเพื่อพัฒนาระบบการค้นหาของ Google ให้มีความแม่นยำยิ่งขึ้น ซึ่งแต่เดิมใช้งานด้วยระบบ BERT โดยระบบใหม่ “MUM” ได้ทำการ disrupt วงการ SEO อย่างไรเรามาดูกันเลยดีกว่า

ระบบการค้นหาที่ยอดเยี่ยมเกินไป

จากเดิมที่ผู้ใช้งานเว็บ search engine ไม่ว่าจะเป็น Yahoo Baidu หรือแม้แต่ Google ย่อมต้องใช้คีย์เวิร์ดในการค้นหาสิ่งที่ต้องการด้วยข้อความสั้นๆ เช่น ถ้าต้องการสืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ผู้ใช้งานอาจค้นหาด้วยข้อความว่า “คอมพิวเตอร์สเปคแรง” หรือจะย่อคำให้สั้นกว่านี้ก็ได้ แต่เมื่อค้นหาด้วยการใช้ข้อความเหมือนกับภาษาพูด AI รุ่นเก่าจะไม่สามารถประมวลผลและแสดงผลว่าไม่พบการค้นหา อย่างไรก็ตาม MUM ได้เข้ามามีบทบาทด้วยความสามารถในการอ่านข้อความยาวเหมือนภาษาพูด และประมวลผลตรงจุดนี้ได้อย่างแม่นยำ เช่น คำค้นหา “คอมรุ่นใหม่ 2022 อยากได้สเปคแบบ ram 16 CPU xxx ราคาไม่เกิน xxxx บาท ขายในกรุงเทพ” MUM จะแสดงผลการค้นหาด้วยสิ่งที่ใกล้เคียงของข้อความนี้ได้ แม้ผู้ใช้งานจะอ่านสิ่งที่ตัวเองเขียนมาไม่รู้เรื่องเลยก็ตาม

ฟีเจอร์ครอบคลุม

การเข้ามาของเทคโนโลยีระบบค้นหาด้วยเสียง ทำให้ google ได้พัฒนา MUM ให้สามารถแสดงผลของการค้นหาด้วยคำพูดได้ แม้ว่าผู้ใช้งานระบบเสิร์ชด้วยเสียงจะอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เสียงดังรบกวน และยังรองรับภาษาทั่วโลกได้มากถึง 75 ภาษา ทำให้ระบบการค้นหาครอบคลุมไปยังทุกภาษาที่เราต้องการสืบค้น ยิ่งไปกว่านั้นรูปภาพ วิดีโอและสิ่งต่างๆ ที่อยู่บนเว็บไซต์ยังถูกเชื่อมโยงไปยังการค้นหาด้วย ตัวอย่างเช่นเมื่อค้นหาด้วยข้อความ “คอมพิวเตอร์” เว็บไซต์ซึ่งมีองค์ประกอบของรูปภาพและวิดีโอที่เกี่ยวข้องกับสินค้า ย่อมได้รับการจัดอันดับหน้าแรกของ search engine แต่เดิมการติดอันดับจะอยู่บนพื้นฐานของการใช้คีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องในเว็บไซต์ แต่ครั้งนี้การยัดคีย์เวิร์ดเข้าไปให้มากที่สุดก็อาจไม่เวิร์คอีกต่อไป บทความที่มีคุณภาพดึงเวลาให้ผู้อ่านอยู่ในเว็บไซต์ได้นานจึงสำคัญกว่าการเน้นคีย์เวิร์ดแบบเดิม ๆ

ที่สำคัญ MUM ยังสามารถแปลภาษาอัตโนมัติทั้งบทความ แม้ว่าเราจะไม่ใช่เจ้าของภาษาก็อ่านรู้เรื่อง เช่น search เกี่ยวกับร้านอาหารในรัฐเท็กซัสประเทศสหรัฐอเมริกา แทนที่เราจะเจอเว็บใช้ภาษาอังกฤษ AI จะแปลบทความนั้นให้อยู่ในรูปแบบของภาษาไทยให้มากที่สุด ทำให้บทความของเจ้าของภาษาจะเจอคู่แข่งทั่วทุกมุมโลก และเมื่อเราต้องการหาคำตอบอะไรสักอย่างที่ต้องการในเว็บไซต์ แทนที่จะพิมพ์คีย์เวิร์ดในช่องค้นหา แต่การเข้ามาของ MUM ทำให้ผู้ใช้งานไม่ต้องพิมพ์อะไรทั้งสิ้น เพียงใช้รูปภาพในการอัปโหลดก็จะเจอวิธีการดีที่สุดสำหรับการแก้ไขปัญหาและได้สิ่งที่ต้องการเสิร์ช

ถ้าเป็นจริงตามที่ google กล่าวอ้าง วงการ SEO อาจต้องปรับตัวด้วยการใช้เนื้อหาของบทความซึ่งมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวและต้องใช้รูปภาพ วิดีโอ ระบบเสียงต่างๆ ที่สอดคล้องกับระบบ AI ใหม่นี้ด้วย แต่อย่างไรก็ดี google เพิ่งจะพัฒนา MUM ในระยะเริ่มต้นเท่านั้น ซึ่งต้องใช้เวลาอีกพักใหญ่ก่อนที่ออกมาโลดแล่นบนเว็บ Google จริง ๆ

เขียน SEO 2022 ให้ถูกใจ Google ด้วยเทคนิค E-A-T

ปัจจุบัน Google มีการพัฒนาระบบ Ai สำหรับ Search Engine เพื่อรองรับการใช้งานที่หลากหลายและมีอัลกอริทึ่มที่มีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้น หากคุณต้องการเขียน SEO ให้ถูกใจ Google จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้อองเรียนรู้กับเทคนิคดังต่อไปนี้

E : EXPERTISE

หากแปลตามความหมาย คือ การมีความรู้ ทักษะเฉพาะทางด้านใดด้านหนึ่ง หรือ เป็นคนที่มีความรู้ในสิ่ง ๆ นั้นแบบยอดเยี่ยม สามารถที่อธิบาย ถ่ายทอดความรู้ให้แก่บุคคลอื่นได้เข้าใจได้ ซึ่งความหมายของ E ดังกล่าวเมื่อนำมาทำคอนเทนต์ ก็ควรที่จะเป็นเรื่องที่ผู้นำเสนอนั้นรู้ลึก รู้จริงและมีความเชี่ยวชาญเป็นอย่างมาก เพื่อที่จะถ่ายทอดความรู้นั้นให้ผู้อ่านหรือผู้ติดตามได้เรียนรู้และเข้าใจในสิ่งที่ผู้นำเสนออธิบายได้และที่สำคัญมีประโยชน์ต่อผู้อ่านด้วย ดังนั้นในการใช้ Key Word อาจไม่ใช่เพียงแค่ Key ปกติที่ใช้ในวงการนั้น ๆ แต่อาจหมายถึง Key เฉพาะหรือ Key ที่เป็นประโยคยาว ๆ ก็เป็นได้

A : AUTHORITY

ความหมายคือ อำนาจ หรือผู้มีอำนาจ หากแต่ในความหมายของทาง Google น่าจะหมายถึง เจ้าของหรือการอ้างอิงถึงเจ้าของตัวจริง มันก็ขึ้นอยู่กับรูปแบบเว็บ หากเราเป็นสายเทาทำเว็บ ข่าวบอล วิเคราะห์บอล ก็อาจยาก แต่สำหรับงานสายขาวควรทำเอาไว้ ซึ่งปัจจุบันงานเขียนต่าง ๆ บนเว็บไซต์ต่างมีเนื้อหาจำนวนมาก การที่เป็นนักเขียนในระดับผู้เชี่ยวชาญให้ผู้อื่นอ้างอิงถึงได้นั้น ถือว่ามีคุณค่าต่อบทความของคุณเป็นอย่างมาก แม้แต่การแชร์บทความก็ถือเป็น AUTHORITY ด้วยเหมือนกัน ซึ่ง Google จะใช้ข้อมูลดังกล่าวในการพิจารณาเพื่อจัดอันดับของเว็บไซต์ของคุณให้ดีขึ้น

T : TRUSTWORTHINESS

ความหมายคือ ความหน้าเชื่อถือ นั่นหมายความว่านอกจากบทความหรือคอนเทนต์ที่คุณนำมาเสนอให้ผู้คนที่เยี่ยมชมเว็บไซต์ได้อ่านจะให้ความรู้ที่ดี มีแหล่งอ้างอิงที่แน่ชัดแล้ว ยังต้องมีความน่าเชื่อถือด้วย ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญต่อเว็บไซต์มาก เพราะสามารถที่จะช่วยดันอันดับเว็บไซต์ของคุณให้ขึ้นสู่ลำดับสูง ๆ ได้ เพราะถือว่าเป็นบทความที่มีคุณภาพ ไม่ได้มาจากการ copy ยิ่งถ้าบทความของคุณได้รับการแนะนำผ่านเว็บอื่น ๆ เช่น Facebook, Tripadvisor ยิ่งทำให้น่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น สิ่งที่จะทำให้เว็บไซต์ของคุณมีความน่าเชื่อถือประกอบไปด้วย

  • มีตัวตนจริง มีหน้าร้านที่สามารถ walk in เข้าไปได้
  • มีเบอร์โทร ช่องทางในการติดต่อสื่อสาร กับคุณโดยตรง
  • มีข้อกำหนดในเรื่องของความปลอดภัยและการรักษาความลับของลูกค้า
  • หากเป็นเว็บขายสินค้า ต้องมีการับประกัน, การเคลมสินค้าหรือการคืนเงินให้แก่ลูกค้า ตามเงื่อนไขที่กำหนด
  • มีวัตถุประสงค์ของการทำเว็บและเงื่อนไขที่ชัดเจน

สำหรับการทำ SEO ให้ติดอันดับต้น ๆ ของการค้นหาของ Google ได้นั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่เจ้าของเว็บหรือคนทำเว็บจะต้องเอาใจใส่ข้อกำหนด ระเบียบต่าง ๆ ของ google เพื่อปรับปรุง เนื้อหา แก้ไข เปลี่ยนแปลงเพื่อให้เว็บไซต์ของตนเองสามารถติดอันดับหน้าค้นหาและสามารถไต่อันดับที่สูงกว่าได้และที่สำคัญเว็บไซต์ต้องมีคุณภาพและประสิทธิภาพในการเผยแพร่ข้อมูลและให้ความรู้แก่ผู้อ่านอย่างแท้จริง

เทคนิค (ลับ) โพสต์คอนเทนต์อย่างยั่งยืนด้วย Content Planner

Content คือ ปัจจัยสำคัญในการทำ Social Media Marketing (SMM) หรือกลยุทธ์การตลาดบนโซเชียลมีเดีย เพราะคอนเทนต์คือหัวใจสำคัญในการขยายโอกาสทางธุรกิจ เช่น ช่วยเพิ่มโอกาสการเข้าถึงเว็บไซต์, ลดค่าใช้จ่ายการทำโฆษณาและสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายของธุรกิจได้โดยตรง เป็นต้น 

Content Planner (การบริหารจัดการเนื้อหา) คือ แผนการสร้างคอนเทนต์ที่มีคุณภาพและประสิทธิภาพ เพื่อกระตุ้นการเข้าถึงเว็บไซต์หรือช่องทางการติดต่อ สร้างการมีส่วนร่วมของกลุ่มเป้าหมายและช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับธุรกิจ แม้ว่าจุดประสงค์ในการทำ Content Planner จะมีความคล้ายคลึงกับการทำ Content Strategy (กลยุทธ์ในการสร้างสรรค์เนื้อหา) แต่มีความแตกต่างกันตรงที่การจัดลำดับความสำคัญ โดยเราจะสามารถทำ Content Planner ได้ต่อเมื่อมีการวางกลยุทธ์การทำเนื้อหาให้มีความชัดเจนก่อน 

6 ขั้นตอนในการทำ Content Planner สร้างสรรค์คอนเทนต์อย่างยั่งยืน มีดังนี้

  1. วิเคราะห์กลุ่มเป้าหมายของตัวเอง เพื่อให้การทำคอนเทนต์ได้รับความสนใจจากกลุ่มเป้าหมายหลักของธุรกิจ ผู้ทำคอนเทนต์จึงควรรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวกับลูกค้าของตัวเองให้ได้มากที่สุด เพื่อนำมาวิเคราะห์เนื้อหาที่คิดว่ากลุ่มเป้าหมายน่าจะให้ความสนใจ
  2. ช่องทางเผยแพร่คอนเทนต์ การวิเคราะห์ช่องทางที่จะเผยแพร่คอนเทนต์จะช่วยให้ผู้ทำคอนเทนต์ทราบถึงการเลือกใช้รูปแบบคอนเทนต์ให้เหมาะช่องทางที่จะเผยแพร่ ซึ่งมีส่วนทำให้เกิดการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย ทั้งนี้เราไม่จำเป็นที่จะต้องทำการเผยแพร่คอนเทนต์ไปยังทุกแพลตฟอร์มหากเราทำการวิเคราะห์กลุ่มเป้าหมายมาเป็นอย่างดี 
  3. สร้างเนื้อหาที่มีประโยชน์ต่อกลุ่มเป้าหมาย การสร้างสรรค์คอนเทนต์ที่มีคุณภาพไม่เพียงแต่ให้ความสำคัญกับเรื่องการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย แต่ยังต้องเป็นคอนเทนต์ที่เกิดประโยชน์กับกลุ่มเป้าหมายมากที่สุด โดยวิธีลัดที่จะช่วยให้เรารู้ว่ากลุ่มเป้าหมายกำลังมีปัญหาอะไรสามารถทำได้ด้วยการนำ “คำค้นหาหลัก (Keyword)” ไปค้นหาบน Keyword Research Tools และดูว่ามีคำถามอะไรที่กลุ่มเป้าหมายค้นหาบน Search Engine บ้าง
  4. หาจุดเด่นในธุรกิจของตัวเองให้เจอ ตอบคำถามกับตัวเองให้ได้ว่าทำไมธุรกิจของเราจึงพิศษและแตกต่างจากธุรกิจประเภทเดียวกัน รวมถึงบอกให้ลูกค้าหรือกลุ่มเป้าหมายทราบถึงสิ่งดี ๆ ที่จะได้รับจากธุรกิจของคุณเท่านั้น
  5. รูปแบบคอนเทนต์ที่กลุ่มเป้าหมายชอบ ในปัจจุบันมีรูปแบบของเนื้อหาให้เลือกมากมาย บทความ, อีเมล, ภาพนิ่ง หรือวิดิโอ เป็นต้น วิธีการง่ายที่สุดในการวิเคราะห์รูปแบบเนื้อหาที่กลุ่มเป้าหมายชอบ คือ การสังเกตว่ากลุ่มเป้าหมายนิยมเนื้อหารูปแบบไหนมากที่สุดและเลือกทำรูปแบบเนื้อหานั้นซ้ำเพื่อเพิ่มการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย
  6. โพสต์คอนเทนต์ลงไป เมื่อทำการวิเคราะห์กลุ่มเป้าหมาย ช่องทางที่กลุ่มเป้าหมายใช้ในการหาข้อมูลและทราบถึงวิธีการสร้างสรรค์เนื้อหา รวมถึงรูปแบบคอนเทนต์ที่กลุ่มเป้าหมายชื่นชอบก็ถึงเวลาที่จะเผยแพร่คอนเทนต์ไปยังช่องทางที่ทำการศึกษามาเป็นอย่างดี

การเสียเวลาในการทำ Content Planner ไม่เพียงแต่จะช่วยประหยัดเวลาในการสร้างสรรค์เนื้อหาที่มีคุณภาพและตรงความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย แต่ยังเป็นแนวทางขยายโอกาสทางธุรกิจบนโลกออนไลน์ที่มีประสิทธิภาพ

SEM ต่างกับ SEO อย่างไร

ช่องทางที่ภาคธุรกิจจะเข้าถึงลูกค้าหรือผู้บริโภคได้ตรงเป้าหมายอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน การเปิดเว็บไซต์คือความจำเป็นลำดับต้น ๆ ที่สมควรทำ แต่ลำพังเพียงการเปิดเว็บไซต์ก็ยังถือว่าไม่เพียงพอ เพราะเดี๋ยวนี้ไม่ว่าธุรกิจไหน ๆ ก็มีเว็บไซต์กันทั้งนั้น

เมื่อมีเว็บไซต์เพื่อเผยแพร่ข้อมูลทางธุรกิจแล้ว การจะทำให้เว็บไซต์ธุรกิจของเราไปปรากฏในสายตาของกลุ่มเป้าหมายที่เราต้องการได้ ก็จำเป็นต้องให้เว็บไซต์ของเราไปแสดงบนหน้าแรกของการค้นหาใน google search ให้ได้เร็วที่สุด ดังนั้นการทำการตลาดผ่านเครื่องมือนี้จึงเป็นสิ่งที่คุณจำเป็นต้องทำเช่นเดียวกัน

วิธีการที่จะทำให้เว็บไซต์ไปแสดงผลบนหน้าแรกของ google มีอยู่ด้วยกันสองวิธีหลัก ๆ ก็คือ การทำ SEO กับการทำ SEM

หลักการของ SEO

การทำ SEO หรือ Search Engine Optimization ก็คือการสร้างทราฟฟิกให้เกิดขึ้นบนเว็บไซต์ผ่านการพัฒนาคอนเทนต์และรูปแบบการนำเสนอให้ได้รับการจัดอันดับจากระบบของ google จนได้รับการแสดงผลบนหน้าแรก ๆ ทั้งนี้การทำ SEO จะไม่มีการซื้อโฆษณากับทาง google โดยตรง ค่าใช้จ่ายของการทำ SEO จะเกิดขึ้นจากการจ้างผู้เชี่ยวชาญช่วยในเรื่องการออกแบบหรือสร้างคอนเทนต์ให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมายมากที่สุดเท่านั้น

หลักการของ SEM

สำหรับการทำ SEM หรือ Search Engine Marketing ก็คือการทำการตลาดผ่านเว็บไซต์เพื่อให้เกิดการจัดอันดับเว็บไซต์เป้าหมายไปสู่อันดับต้น ๆ ในหน้าแรกของ google เช่นเดียวกับการทำ SEO จะแตกต่างกันก็ตรงที่การทำ SEM เป็นการทำการตลาดโดยการซื้อโฆษณากับ google โดยตรง ซึ่งเป็นการการันตีได้ว่าเว็บไซต์ของคุณจะถูกแสดงในหน้าแรกตามที่ต้องการอย่างแน่นอน

ทั้งนี้ การทำ SEO และการทำ SEO มีเป้าหมายสุดท้ายเดียวกัน คือ การทำให้เว็บไซต์ถูกแสดงผลในหน้าแรกบน google แตกต่างกันก็ตรงที่จ่ายเงินให้ google เพื่อซื้อโฆษณากับไม่จ่ายเงินเท่านั้นเอง

เราลองมาดูข้อดี ข้อด้อยของการทำ SEO กับการทำ SEM กันบ้าง

ข้อดีของการทำ SEO 

1. ไม่ต้องเสียเงินซื้อโฆษณา 

2. ผลลัพธ์ที่ได้เหมือนกันหากทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ข้อด้อยของการทำ SEO

1. ต้องใช้ระยะเวลาและความต่อเนื่องในการทำงาน จึงจะเห็นผลตามที่ต้องการ

2. ไม่การันตีว่าเว็บไซต์จะติดหน้าแรกแน่นอน

ข้อดีของการทำ SEM

1. การันตีว่าเว็บไซต์ของคุณจะติดหน้าแรกของการค้นหาอย่างแน่นอน

2. ได้ผลลัพธ์กลับมาอย่างรวดเร็วทันต่อสถานการณ์การแข่งขันทางธุรกิจ

ข้อด้อยของการทำ SEM

1. ใช้งบประมาณสูงเมื่อเทียบกับการทำการตลาดผ่าน SEO 

2. การได้รับการแสดงผลการค้นหาในหน้าแรก ไม่ได้หมายความว่าจะได้รับการตอบสนองจากกลุ่มเป้าหมาย 100%

ทั้งการทำ SEO และการทำ SEM ล้วนส่งผลดีต่อการทำธุรกิจผ่านช่องทางออนไลน์ทั้งคู่ ดังนั้นธุรกิจที่มีเว็บไซต์จึงควรทำทั้งสองอย่างควบคู่กันไป เพื่อสร้างความแข็งแกร่งทางการตลาดในสภาพการแข่งขันที่มีสูงมากอย่างในปัจจุบัน

ทำ SEO แล้ว ทำไมยอดขายไม่เพิ่ม

ร้านค้าและธุรกิจมากมายหลายประเภทเข้าสู่โลกออนไลน์กันทั้งนั้น ในยุคนี้ทำการตลาดออนไลน์มีการแข่งขันกันสูง แต่ก็มีทางเลือกให้ทำได้ในหลายรูปแบบทั้งด้วยวิธีธรรมชาติ (Organic Marketing) และแบบเสียค่าใช้จ่ายในการโฆษณาเพื่อให้เข้าถึงลูกค้าได้ง่ายและรวดเร็วกว่า

สำหรับเว็บไซต์ของธุรกิจที่ใช้วิธี SEO (Search Engine Optimization) คือ การปรับปรุง พัฒนาเว็บไซต์ให้ถูกใจระบบ Search Engine โดยเฉพาะ Google ที่คนนิยมใช้มาก เพื่อที่จะได้ขึ้นเป็นอันดับต้น ๆ ในหน้าแรกของการค้นหาด้วย Keyword เพราะนั่นเท่ากับว่าเป็นการเพิ่มโอกาสการเข้าถึงลูกค้า และเป็นไปได้สูงที่ยอดขายจะเพิ่มขึ้น แต่หลายธุรกิจที่พยายามดันเว็บไซต์ของตัวเองให้ขึ้นไปอยู่หน้าแรกอันดับบน ๆ ให้คนได้เห็นก่อน แต่กลับไม่ช่วยเพิ่มยอดขายอย่างที่ตั้งใจไว้ ซึ่งอาจจะมีปัจจัยพื้นฐานที่น่าสนใจพวกนี้

หน้าตา รูปแบบ โครงสร้าง ของเว็บไซต์มีความน่าสนใจ ดึงดูด ให้ผู้เข้าชมอยู่กับเว็บไซต์เราได้นานหรือเปล่า การค้นหาหรือใช้งานภายในเว็บไซต์ยุ่งยากเกินไปจนทำให้หงุดหงิดไหม เพราะนี่ถือเป็น First Impression ในการเข้าถึงเว็บไซต์ธุรกิจเลยทีเดียว การใช้สี รูปแบบตัวอักษร การวางโครงสร้างให้ดูง่าย สบายตาก็เป็นส่วนสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม

นอกจากนี้ ด้านตัวสินค้าและบริการเองก็ต้องมีความน่าเชื่อถือ เพราะในโลกออนไลน์ลูกค้าจะได้แค่เห็นควบคู่กับการได้ยินไม่สามารถสัมผัสหรือหยิบจับได้ เพราะฉะนั้นทางเลือกที่ดีของเว็บไซต์คือใช้รูปและวิดีโอเข้ามาช่วยในการสื่อสารระหว่างธุรกิจกับลูกค้า ที่สำคัญต้องออกแบบให้มีพลังของคอนเทนต์เพิ่มความน่าเชื่อถือให้ได้มากที่สุด นอกจากนี้ถ้าเว็บไซต์มีความน่าเชื่อถือก็มีโอกาสที่คนจะนำไปใช้อ้างอิงและใส่ลิงก์เว็บไซต์เราไปในที่ต่าง ๆ ถือเป็นการช่วยประชาสัมพันธ์ธุรกิจให้เราอีกช่องทางด้วย

ด้านภาษาที่ใช้ ก็ต้องเหมาะกับกลุ่มลูกค้า ภาษานอกจากมีหลายระดับ แล้วยังมีหลาย Generation อีกด้วย เป็นเรื่องที่ต้องใส่ใจว่าจะทำเว็บไซต์ใด ๆ ต้องเลือกภาษาให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าในสินค้าและบริการของเรา เพื่อง่ายต่อการตัดสินใจซื้อ

ความเร็วและเสถียรของการเปิดหน้าเว็บไซต์ เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องใกล้ตัวมาก ๆ จนได้รับการมองข้าม ถึงแม้เว็บไซต์เราจะอยู่ให้ลูกค้าเห็นก่อนเป็นอันดับแรก ๆ ก็จริง แต่ถ้าลูกค้าเลือกเข้าไปแล้วนานกว่าจะโหลดเปิดหน้าเว็บไซต์ขึ้นมาได้ โอกาสที่จะเปลี่ยนใจไปสู่เว็บไซต์อื่นเป็นไปได้สูง เท่ากับเว็บไซต์เราได้เสียโอกาสทางธุรกิจไปอย่างน่าเสียดาย

การแข่งขันที่เข้มข้นและรวดเร็วบนโลกตลาดออนไลน์ทำให้ทุกธุรกิจต้องพร้อมปรับตัว เปลี่ยนแปลง และพัฒนาตลอดเวลาเพื่อให้ทันต่อความต้องการของผู้บริโภคที่ชอบความสะดวก สบาย และรวดเร็ว พร้อมจ่ายถ้าถูกใจ ถึงแม้จะทำการตลาดแบบ SEO ที่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายกับการทำโฆษณาตรงนี้ แต่ตัวเว็บไซต์ต้องมีการลงทุนด้านต่าง ๆ โดยไม่ละเลยเรื่องรายละเอียดเพื่อคุณภาพที่ดี สร้างความประทับใจให้กับลูกค้าทั้งเก่า-ใหม่ ให้กลายเป็นลูกค้าประจำได้