ป้ายกำกับ: การทำ SEO

SEO และ Google AdWords แตกต่างกันอย่างไร

การทำการตลาดออนไลน์ผ่านเครื่องมือค้นหาบนอินเทอร์เน็ตทำเว็บไซต์ให้ติดอันดับหน้าแรก ๆ มี 2 ตัวช่วยหลักคือ SEO และ Google AdWords ซึ่งธุรกิจไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ให้ความสนใจไม่น้อย ถือเป็นเครื่องมืออันทรงพลังในการเจาะเข้าถึงลูกค้าอย่างแม่นยำ โดยไม่ต้องจ่ายแพงเหมือนกับวิธีการโฆษณาแบบดั้งเดิม

หลายคนอาจไม่ทราบว่า SEO และ Google AdWords แตกต่างกันอย่างไร ทำไมบริษัทธุรกิจและนักการตลาดควรใส่ใจในเรื่องนี้ เราจะมาหาคำตอบไปพร้อมกัน

1.SEO (Search Engine Optimization) คือการทำให้เว็บไซต์ขึ้นบนหน้าค้นหาโดยธรรมชาติ การทำ SEO ให้มีประสิทธิภาพต้องสร้างคอนเทนต์เป็นประจำ พร้อมกับปรับโครงสร้างเว็บไซต์ให้เข้าใช้งานง่าย ส่งผลให้มีการแชร์เว็บไซต์ออกมาไปมากๆ อย่างไรก็ตาม SEO ทำได้ง่ายในตอนแรกและไม่ต้องเสียเงินให้ Google แต่ยากที่จะสมบูรณ์แบบได้ในระยะยาว เป็นเพราะวิธีการทำ SEO จะใช้เวลาไม่น้อยกว่า 5-6 เดือน หลังจากขึ้นไปอันดับสูง ๆ ได้แล้ว การรักษาตำแหน่งไว้ให้ยั่งยืนยิ่งเป็นเรื่องยาก จำเป็นต้องทำการปรับปรุงเป็นประจำเพื่อให้ยังรักษาอันดับต้น ๆ เอาไว้ให้ได้ ด้วยเหตุนี้ ถ้าอยากดันอันดับเว็บไซต์ให้สูงขึ้นจะต้องเสียค่าบริการให้ผู้เชี่ยวชาญด้าน SEO เพื่อโปรโมทให้สินค้าหรือบริการออกไปสู่สายตาผู้คนจำนวนมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

2.Google AdWords อธิบายง่าย ๆ ว่าคือการลงโฆษณาเว็บไซต์บนหน้าค้นหากับ Google โดยตรง มีการเก็บเงินเมื่อมีคนคลิกเข้าไปชมเว็บไซต์นั่นเอง สิ่งสำคัญคือการเลือกคีย์เวิร์ดและคำโฆษณาได้เองตามต้องการ สามารถเปลี่ยนคำใหม่ได้ทุกเมื่อ วิธีนี้ช่วยให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้น จะถูกเรียกเก็บเงินเมื่อมีคนคลิกบนโฆษณาเท่านั้นและจ่ายเงินตามจำนวนคนที่คลิกเข้ามาดู ถือว่า Google Ads มีค่าใช้จ่ายค่อนข้างถูกและได้ผลดีน่าพอใจ สามารถควบคุมงบประมาณไม่ให้บานปลายได้และเก็บข้อมูลยอดขายมาต่อยอดเพื่อหาช่องทางการขายที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ Google Ads ยังเป็นเครื่องมือทำการตลาดออนไลน์บนเว็บไซต์อื่น ๆ บนเครือข่ายของ Google ซึ่งจะช่วยให้เราเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายมากยิ่งขึ้น สามารถเข้าถึงเว็บไซต์นับพันแห่งในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณด้วย

สุดท้ายแล้วเป้าหมายของการทำ SEO ช่วยให้บริษัทและธุรกิจของคุณค้นหาทางออนไลน์ได้ง่าย ในขณะที่ Google Ads ช่วยให้ใช้ประโยชน์จากการโฆษณาออนไลน์เข้าถึงผู้ชมที่ใช่ ในสถานที่และเวลาที่เหมาะสม เหมาะสำหรับการดึงดูดผู้เข้าชมมายังเว็บไซต์ ช่วยส่งเสริมการเติบโตในระยะสั้น ส่วนการเติบโตในระยะยาวจำเป็นต้องอาศัยเวลาและมุ่งเป้าหมายให้ธุรกิจเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน

สรุปความต่างระหว่าง SEO และ Google AdWords

1.SEO สามารถทำให้เว็บไซต์ติดอันดับการค้นหาของ Google ได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม แตกต่างจาก Google AdWords ทำให้เว็บไซต์ติดอันดับการค้นหาได้เร็วกว่า แต่ต้องมีเงินทุนอัดฉีดด้านโฆษณาต่อเนื่อง ถ้าหยุดจ่ายค่าโฆษณาเมื่อไร อันดับก็จะลดลงไปเรื่อยๆ

2.ข้อดีของ SEO คือช่วยให้เว็บไซต์ติดอันดับการค้นหาของ Google ได้นานและคงที่มากกว่า ในขณะที่ Google AdWords ไม่เพียงแสดงผลโฆษณาบนเว็บไซต์เท่านั้น แต่ยังรวมถึงพันธมิตรของ Google ด้วย

สรุปว่าการทำ SEO เหมาะกับธุรกิจที่ทำมานานและต้องการมีตัวตนในโลกออนไลน์ เพื่อเข้าถึงลูกค้าในวงกว้างมากขึ้นและสร้างความเชื่อมั่นยิ่งขึ้น สำหรับ Google AdWords เน้นการโปรโมทธุรกิจใหม่เพื่อให้ติดอันดับใน Google แบบเร่งด่วน แต่มีข้อจำกัดเรื่องอัดฉีดเงิน ถ้าเงินโฆษณาหมด อันดับของเว็บไซต์ก็จะลดลงด้วย

ทำไมต้องทำ SEO ในเมื่อสามารถที่จะซื้อโฆษณาให้เว็บไซต์ได้

ปัจจุบันตลาดออนไลน์ในประเทศไทยมีมูลค่าทางการตลาดที่สูงมาก แตกต่างจากช่วง 10 ปี ที่ผ่านมาเป็นอย่างมาก แม้แต่ห้างสรรพสินค้าและแบรนด์สินค้าชื่อดังก็กระโดดร่วมวงในการขายสินค้าออนไลน์แข่งกับเค้าด้วย ทำให้เกิดการแข่งขันในวงกว้าง โดยเฉพาะการโฆษณาออนไลน์ มีการอัดค่าโฆษณาด้วยเม็ดเงินมหาศาลเพื่อจับจ้องพื้นที่สื่อโซเชียลให้เห็นสินค้าของตนเองตลอด 24 ชั่วโมง แต่ด้วยการปรับเปลี่ยนอัลกอริทึมของ Search Engine และ Facebook ทำให้การโฆษณาอาจไม่มีความหมายอีกต่อไป หากคุณไม่ได้รับการพัฒนาเว็บไซต์ให้มีคุณภาพ ตามหลักเกณฑ์ของ Search Engine ที่มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบของการค้นหาให้เป็นแนวทางที่มีความยั่งยืนและเน้นการเป็นผู้ให้ข้อมูลและความรู้แก่คนที่ติดตามอย่างแท้จริง จึงเป็นที่มาว่าทำไมต้องทำ SEO มากกว่าที่จะมุ่งเน้นไปที่การซื้อโฆษณาเพียงอย่างเดียว

User เน้นการคลิกไปที่การค้นหาแบบ Organic Search

หากคุณเป็นคนหนึ่งที่ใช้ Google ในการค้นหาข้อมูล จะพบว่ามีเว็บไซต์ต่าง ๆ ถูกจัดเรียงลำดับให้ โดนในช่วง 1-5 ข้อมูลที่ Google ค้นหามาให้จะเป็นเว็บไซต์ที่ผ่านการยิงแอด หรือมีคำว่า โฆษณา ติดแนบท้าย รู้หรือไม่ว่า User ส่วนใหญ่มักจะคลิกเลือกในลำดับถัด ๆ มาที่ไม่มีโฆษณามากกว่า นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมถึงต้องทำ SEO เพราะคนส่วนใหญ่เลือกที่จะคลิกเลือก Organic Search มากกว่า Paid Search นั่นเอง

การทำ SEO ใช้เงินลงทุนต่ำหรือแทบไม่ได้ใช้เลย

หากคุณซึ่งเป็นเจ้าของกิจการที่ทำเว็บไซต์เอง มีทีมงานในการประชาสัมพันธ์และรู้หลักการทำ SEO อาจไม่ต้องเสียค่าจ้างบุคคลภายนอกในการทำ SEO หรือหากต้องว่าจ้างก็ใช้เงินลงทุนที่ต่ำ ในขณะที่ผลการจัดอันดับการค้นหาก็จะอยู่ในอันดับที่ดีในระยะยาว ไม่ใช่แค่ขึ้นติด Top Chart เพียงข้ามคืนก็หายไปเสียแล้ว

ลดต้นทุนในการโฆษณา

แม้การทำ SEO จะใช้ระยะเวลาที่นานกว่าที่เว็บไซต์จะสามารถติดอันดับตามที่ต้องการได้ ก็จะช่วยให้คุณลดต้นทุนในการยิงแอดลงไปได้ เพราะหากคอนเทนต์หรือเว็บไซต์ของคุณมีเนื้อหาที่ตอบโจทย์และแก้ไขปัญหาให้คนจำนวนมากได้ ก็จะทำให้การไต่อันดับขึ้นไปอยู่ลำดับต้น ๆ ของการค้นหาคงไม่ยาก

เว็บไซต์มีคุณภาพมากขึ้น

รู้หรือไม่ว่าการที่เว็บไซต์มีคนนำข้อมูลไปอ้างอิงมาก ๆ ก็ส่งผลต่อการจัดอันดับในการค้นหาของ Search Engine ด้วย โดยเฉพาะเว็บไซต์ที่ดี มีคุณภาพ นำเสนอข้อมูลที่ถูกต้อง ชัดเจน เมื่อมีคนนำบทความ หรือแหล่งที่มาแล้วอ้างอิงเป็นเว็บไซต์ของคุณ จำนวนมาก ๆ ก็จะทำให้ Search Engine มองว่าเว็บไซต์ของคุณมีคุณภาพและจัดอันดับให้อยู่ต้น ๆ ของการค้นหาด้วย

เห็นหรือยังว่าการทำ SEO มีความสำคัญต่อเว็บไซต์อย่างไร หากคุณต้องการที่จะเป็นหนึ่งในใจของ Search Engine จะต้องทำตามกฎ ระเบียบและข้อบังคับของ Search Engine เพื่อให้เว็บไซต์มีคุณภาพและยั่งยืนต่อไปในอนาคตได้

SEO Page Quality ในมุมมองของ Google ต้องเป็นอย่างไร

หากคุณเป็นคนหนึ่งที่กำลังมองหาวิธีการทำเว็บไซต์ให้มีคุณภาพเพื่อให้ได้คะแนนการประเมินจาก Google คุณมาถูกทางแล้วล่ะ เพราะวันนี้เรามีลักษณะของเว็บไซต์ที่ Google จะให้ประเมินว่าเป็นเว็บไซต์ที่ดีมีคุณภาพ อย่ารอช้า รีบมาดูกันได้เลย

Google ประเมินอะไรบ้างในเว็บไซต์

มีการเช็คสภาพของเว็บไซต์ให้มีการใช้งานที่ดีอยู่เสมอ โครงสร้างของเว็บไซต์ถือว่าเป็นส่วนสำคัญของการทำ SEO ค่อนข้างมากเลยทีเดียว เพราะจะทำให้ Google เข้าไปเก็บข้อมูลบนเว็บไซต์ได้ง่าย เจ้าของเว็บไซต์ที่ดีควรมีการตรวจเช็คสภาพการทำงานของเว็บไซต์ให้ทำงานได้ดีอยู่เสมอ

มีข้อมูลเว็บไซต์ที่ครบถ้วน ข้อมูลของเว็บไซต์นั้นประกอบไปด้วยเมนูต่าง ๆ ที่สำคัญต่อการค้นหาเนื้อหาในเว็บไซต์ ซึ่งจะมีประโยชน์กับผู้ชมของเว็บไซต์และ bot ของ Google ด้วย เนื่องจาก Google จะเข้าไปเก็บข้อมูลของเว็บไซต์ผ่าน sitemap ที่ถูกสร้างขึ้นจากเมนูเหล่านี้นี่เอง

มีการออกแบบไซต์ที่เหมาะสม การออกแบบเว็บไซต์นั้นจะส่งผลกระทบไปยังประสบการณ์การใช้งานของผู้ชมโดยตรง หากเป็นเว็บไซต์ที่ออกแบบมาไม่ดี เว็บไซต์นั้นมีโอกาสที่จะไม่มีคนกลับเข้ามาดูอีกในครั้งต่อไป แต่หากเป็นเว็บไซต์ที่ถูกออกแบบมาดีก็จะทำให้ผู้เข้าชมมีประสบการณ์ที่ดีและอยากกลับมาในเว็บไซต์อีกซ้ำ ๆ

มีเนื้อหาที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ชม เนื้อหาที่เป็นประโยชน์นั้นสามารถเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับอะไรก็ได้ แต่ขอให้เป็นเนื้อหาที่มีผู้ชมเข้ามาอ่านเป็นจำนวนมากและใช้เวลาในการอ่านที่เหมาะสม ซึ่งเว็บไซต์ไหนที่สามารถสร้างเนื้อหาประเภทนี้ขึ้นมาได้ ก็มีโอกาสที่จะติดอันดับบนหน้าแรกได้แบบยาว ๆ เลยทีเดียวล่ะ

มีชื่อเสียงในแง่บวก ชื่อเสียงของเว็บไซต์ถือเป็นสิ่งสำคัญมากเลยทีเดียวล่ะ โดยชื่อเสียงนี้ไม่ได้หมายถึงการได้รับการบอกต่อโดยการแชร์เพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังต้องเป็นเว็บไซต์ที่ไม่ได้ถูกรายงานว่าเป็นสแปมหรือก่อกวนผู้ชมของ Google อีกด้วย เพราะเมื่อไหร่ที่มีการรายงานนี้เกิดขึ้นกับเว็บไซต์ของคุณ เมื่อนั้นก็จะทำให้ถูกประเมินเป็นเว็บไซต์คุณภาพต่ำจนถึงขั้นถูกแบนได้เหมือนกัน

มีเนื้อหาที่มีคุณภาพ เนื้อหาคุณภาพจะช่วยสร้างคะแนน SEO ให้กับเจ้าของเว็บไซต์ได้แบบไม่ยาก โดยเฉพาะเนื้อหาที่ความเป็น unique และสร้างคุณค่าให้กับผู้ชม แม้ว่ามันจะต้องใช้ระยะเวลาอยู่สักหน่อย แต่เนื้อหาเหล่านี้เอง ที่จะเป็นตัวชี้วัดว่าเว็บไซต์ของคุณจะอยู่ได้สั้น ๆ หรืออยู่แบบยาว ๆ ต่อไป

การทำ SEO เว็บไซต์ให้มีคุณภาพนั้น จะทำให้คุณไต่อันดับขึ้นไปบนหน้าแรกของ Google ได้เร็วขึ้น แต่ในทางตรงกันข้าม หากคุณใช้วิธีการทำเว็บไซต์จน Google ประเมินว่าเป็นเว็บไซต์ที่มีคุณภาพต่ำ ก็สามารถทำให้ตกอันดับไปอยู่หน้าหลัง ๆ ของ Google ได้เหมือนกัน

SEO Page Quality ในมุมมองของ Google ต้องเป็นอย่างไร

SEO กับ Google Ads เกี่ยวข้องกันอย่างไร?

ด้วยยุคสมัยที่เปลี่ยนไปทำให้เหล่านักทำการตลาดออนไลน์มือใหม่เริ่มให้ความสำคัญกับการทำเว็บไซต์มากขึ้น เพราะเว็บไซต์เปรียบเสมือนเครื่องมือยืนยันตัวตนที่แท้จริงของบุคคล ห้างร้านหรือแบรนด์ต่าง ๆ นอกจากนี้เว็บไซต์ยังเป็นแหล่งให้ข้อมูลที่น่าสนใจกับลูกค้าที่ต้องการข้อมูลเพิ่มเติมหรือเกี่ยวข้องกับแบรนด์ เมื่อเว็บไซต์มีประโยชน์ก็จะทำให้เว็บไซต์มีฐานลูกค้าและสามารถสร้างรายได้มากขึ้น

การทำเว็บไซต์ให้ติดอันดับต้น ๆ ของการค้นหา จะทำให้เว็บไซต์ดูน่าเชื่อถือมากขึ้น รวมถึงเป็นจุดที่ลูกค้าสามารถมองเห็นได้ง่ายที่สุด โดยวิธีการทำเว็บไซต์ให้ติดอันดับบนหน้าแรกของ Search Engine สามารถทำได้ 2 วิธี คือ

2 วิธีทำเว็บให้ติดอันดับบน Search Engine

การทำ SEO หรือ Search Engine Optimization คือ การปรับเว็บไซต์ให้เป็นมิตรต่อ Google โดยหลักของการทำ SEO เริ่มที่การเลือก Keyword ที่มีจำนวนผู้คนหาเยอะ มาแปลงเป็นข้อมูลที่มีประโยชน์ โดยนำ Keyword ดังกล่าวมาตั้งเป็น หัวข้อบทความ, คำบรรยายสั้น ๆ เกี่ยวกับบทความ, เนื้อหาบทความ, นำมาตั้งชื่อรูปและเซฟเป็นชื่อไฟล์ภาพ ฯลฯ แต่เท่านั้นยังไม่พอเพราะการทำ SEO ยังมีรายละเอียดปลีกย่อยมากมายที่หลายคนอาจคิดไม่ถึง เช่น ความถี่ในการอัปโหลดบทความ, จำนวนคำในบทความ, ความน่าเชื่อถือของโดเมนเนม ฯลฯ ซึ่งการทำ SEO อาจทำให้มือใหม่หลายคนถอดใจได้ง่าย ๆ โดยเฉพาะหากต้องทำ SEO ในตลาดที่มีการแข่งขันสูง

Google Ads (แต่ก่อนหน้าเรียกว่า Google AdWords) เป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะทำให้เว็บไซต์ติดอันดับหน้าหนึ่งบน Google Search Engine ได้โดยไม่ต้องใช้เวลานานเหมือนกับการทำ SEO โดย Google Ads เป็นการจ่ายค่าโฆษณาให้กับ Google เพื่อให้เว็บไซต์ติดอันดับบนหน้าแรกใน Keyword ที่ต้องการ แม้จะดูเหมือนง่ายแต่ในบางตลาดที่มีการแข่งขันของ Keyword ค่อนข้างสูง อัตราค่าบริการของ Google Ads ก็จะแพงตามไปด้วยและต้องประมูลราคาสู้กับคู่แข่งเพื่อให้ได้ตำแหน่งโฆษณาที่ดี นอกจากนี้การทำ Google Ads ก็ไม่ได้การันตีถึงความยาวนานของการติดอันดับ เพราะหากมีเว็บไซต์คู่แข่งที่มีคุณภาพดีและประมูลให้ราคาสูงกว่า ก็จะถูกลดอันดับโฆษณาได้เช่นกัน ทำให้คนเข้าชมลดน้อยลงตามสัดส่วน แม้จะมีเงินมากมายในการทำ Google Ads แต่ถ้าเว็บไซต์ไม่มีคุณภาพก็อาจไม่ก่อให้เกิดประโยชน์เท่าที่ควร ทั้งนี้แม้อันดับลดลงแล้ว ก็สามารถพัฒนาคุณภาพการโฆษณาและการประมูลเพื่อกลับขึ้นสู่อันดับหนึ่งของโฆษณาได้เช่นกัน

ความเกี่ยวพันกันระหว่าง การทำ SEO หรือ Search Engine Optimization และ Google Ads เป็นการแข่งขันการทำการตลาดของ Keyword ที่เว็บไซต์ต้องการ โดยการเลือก Keyword ที่เหมาะสมต่อการทำการตลาด ย่อมทำให้การติดอันดับได้ง่ายขึ้นและจ่ายน้อยลง แต่ความมั่นคงของการแข่งขันทางการตลาดใน ปี ค.ศ.2020 นี้เป็นไปในทิศทางของการสร้างประโยชน์และมูลค่าของคอนเทนต์เป็นสำคัญ ดังนั้นหากต้องการให้เว็บไซต์มีความมั่นคง การเลือก Keyword ที่ดีตั้งแต่แรกและปรับกลยุทธ์ในการทำการตลาดผสมผสานกันระหว่าง SEO หรือ Google Ads จะส่งผลดีต่อเว็บไซต์ในระยะยาว

2 วิธีทำเว็บให้ติดอันดับบน Search Engine

เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับการทำการตลาด SEO และ SEM

การทำ การตลาดออนไลน์ แบบ SEO และ SEM เป็นสิ่งที่สามารถช่วยให้เว็บไซต์ทางธุรกิจที่จำหน่ายสินค้าและบริการทุกประเภทประสบความสำเร็จมากขึ้น โดยเฉพาะเป้าหมายในด้านยอดขายและการขยายฐานลูกค้าให้เป็นที่รู้จักทั้งในและต่างประเทศ

การตลาดทั้งสองแบบนี้ มีหลักการและข้อจำกัดที่แตกต่างกัน ที่เจ้าของธุรกิจควรทราบตั้งแต่เนิ่น ๆ เพื่อการวางแผนการปฏิบัติและหวังผลที่เหมาะสม ดังที่เรารวบรวมประเด็นมาดังนี้

มารู้จักเทคนิคการทำ SEO

SEO หรือ search engine optimization เป็นการตลาดที่เหมาะอย่างยิ่งกับธุรกิจรายย่อย หรือผู้ที่มีเงินทุนจำกัด เพราะเป็นเทคนิคที่ไม่มีค่าใช้จ่าย กล่าวคือ เมื่อผู้ทำเว็บไซต์ศึกษาวิธีการทำ SEO จากหนังสือหรือลงคอร์สเรียน แล้วนำมาศึกษาเพิ่มผ่านประสบการณ์

การอัปเดตข้อมูลในเว็บไซต์เป็นประจำ ร่วมกับการพัฒนาส่วนต่าง ๆ เพื่อสร้างความประทับใจแก่ลูกค้าในการใช้งานอย่างสม่ำเสมอ เพียงเท่านี้ ระบบ algorithm ของ Google ก็จะมาเก็บข้อมูลไปเปรียบเทียบทางเทคนิค เพื่อนำสู่การจัดอันดับแสดงผลในหน้า SERPs หรือ search engine result pages ที่ดีขึ้นได้

อย่างไรก็ตาม หากเจ้าของเว็บไซต์ไม่ถนัดทำ SEO หรือไม่มีเวลาบริหารจัดการ ก็สามารถจ้างบริษัทเอกชนที่มีประสบการณ์สูงทำเว็บไซต์ SEO ให้ก็ได้เช่นกัน

ทั้งนี้ ผู้ที่ประสบความสำเร็จในการทำ SEO แนะนำว่าต้องดูแลทั้งในส่วนโครงสร้าง การตรวจสอบลิงก์ที่เชื่อมโยงให้มีคุณภาพ ไม่มีปัญหาความผิดพลาดหรือ Error การทำ SEO ให้แก่รูปภาพประกอบ ก็สามารถช่วยเสริมอันดับในการสืบค้นให้ดีขึ้นได้

การผลิตบทความที่มีคุณภาพอย่างต่อเนื่องอัปเดตเป็นประจำทุกวันก็สำคัญ เพื่อให้ลูกค้าเกิดการจดจำและมีการเข้ามาชมสม่ำเสมอ ฯลฯ เหล่านี้ คือ เคล็ดลับการทำ SEO ที่ดี ซึ่งต้องอาศัยเวลา 3 ถึง 6 เดือน จึงเห็นผลอันดับดีขึ้นชัดเจน

SEM เทคนิคที่ต้องเรียนรู้

ส่วน SEM เป็นเทคนิคที่ย่อมาจาก search engine marketing เป็นการตลาดออนไลน์ที่ต้องมีการจ่ายเงินให้แก่ Google ในการประมูลพื้นที่ส่วนของ Sponsor และจะต้องมีการชำระให้แก่ทาง search engine เพิ่มเติม เมื่อมีผู้คลิกเข้ามาชมเป็นรายครั้ง แต่ก็นับว่าคุ้มค่า หากมีการซื้อขายสินค้าตามมา

SEM จึงเหมาะกับการเร่งกระตุ้นยอดขายในช่วงวันเทศกาล เช่น ปีใหม่สงกรานต์ คริสต์มาส หรือช่วงปลายเดือนที่ผู้คนส่วนใหญ่มีกำลังซื้อสินค้า เป็นช่วงเวลาที่กระตุ้นยอดขายได้เป็นอย่างดี

การทำ SEO และ SEM เป็นเทคนิคการตลาดที่ทุกธุรกิจบนอินเทอร์เน็ตทำควบคู่กันได้ แต่แนะนำให้มีการวางแผนว่าจะต้องทำ SEM เสริมจาก SEO ในช่วงเวลาใดของเดือนหรือปี เพื่อให้ควบคุมรายจ่ายได้ดี และได้กำไรจากการขายคุ้มค่ามากที่สุด

เราหวังว่าบทความนี้จะทำให้ผู้ที่ทำเว็บไซต์ออนไลน์เห็นถึงความแตกต่างและรับรู้ข้อจำกัดของ SEO และ SEM ที่ชัดเจนยิ่งขึ้น เพื่อเลือกใช้ให้เหมาะสมกับจังหวะเวลาและงบประมาณต่อไป

มารู้จักเทคนิคการทำ SEO

SEO สิ่งที่ต้องตรวจสอบกับบริษัทรับทำ SEO ก่อนการจ้างงาน

การทำ SEO ตามระบบ Search Engine Organization ที่ Google กำหนด เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับเว็บไซต์ออนไลน์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการแข่งขันกับคู่แข่งทางธุรกิจรายอื่น หากทำอันดับ SEO ได้สูง ก็จะมีลำดับในการสืบค้นหน้าต่างของ Google ที่ดีขึ้น มีความน่าเชื่อถือและเพิ่มยอดขายได้อย่างมาก

การจ้างงานบริษัทรับทำ SEO จำเป็นจะต้องเลือกบริษัทที่มีคุณภาพจากการตรวจตรวจสอบสิ่งต่อไปนี้

1. มีเลขที่จดทะเบียนการค้าที่ชัดเจน เพื่อลดโอกาสถูกมิจฉาชีพหลอกลวง และต้องมีสัญญาการจ้างงานอย่างเป็นกิจจะลักษณะ โดยทั่วไปการทำ SEO ต้องใช้ระยะเวลา 3-6 เดือนจึงจะเห็นผลการจ้างงาน ในระหว่างการทำ จึงต้องมีการระบุถึงการรายงานความเปลี่ยนแปลงเป็นระยะด้วย เพื่อไม่ให้เจ้าของเว็บไซต์เสียโอกาสในการแข่งขันทางธุรกิจไปกับบริษัทที่ไม่มีความรับผิดชอบ

2. การตรวจสอบความพึงพอใจจากผู้ใช้บริการรายเก่า มักมีการรีวิวหรือแนะนำไว้ว่าบริษัททำ SEO ที่ใดบ้าง ที่สร้างผลงานน่าพึงพอใจทั้งใน Pantip หรือ Facebook หรือแม้แต่คนที่คุณรู้จักที่มีเว็บไซต์ออนไลน์ ก็สามารถที่จะสอบถาม เพื่อเสริมความมั่นใจได้ ทั้งนี้หากทางบริษัทมีการรับประกันผล ว่าจะทำให้เว็บไซต์ออนไลน์ของคุณขึ้นสู่อันดับที่ 1 ในการใช้ keyword หนึ่ง ๆ เสมอ ให้คำนึงเสมอว่าอาจถูกหลอกลวงหรือทำ SEO แบบผิด ๆ เพราะเป็นไปได้ยากในเมื่อระบบ algorithm ของ Google มีความซับซ้อนและมีการรายงานผลแบบ Real Time ซึ่งเว็บไซต์จำนวนมากก็มีทำการทำ SEO เช่นเดียวกัน การการันตีอันดับ 1 จึงมีความเสี่ยงสูงมากที่จะผิดหวังจากการกล่าวอ้างเกินความจริง

3. การลำดับในการทำ SEO แบบมืออาชีพ หากคุณศึกษาพื้นฐานในการทำ SEO มาบ้าง จะพบว่าต้องใส่ใจทั้ง on- Page SEO และ Off-Page SEO ซึ่งหลายคนมักเข้าใจว่าการเลือก keyword ที่ดีใน on-Page SEO จะทำให้อันดับดีขึ้นได้เป็นจุดแรก ที่จริงแล้วต้องเริ่มจากการปรับส่วนโครงสร้างของเว็บไซต์ให้เหมาะสมกับการใช้งาน มีการแยกสินค้าเป็นหมวดหมู่ และพัฒนาให้เว็บไซต์เหมาะกับการใช้ทางโทรศัพท์มือถือและคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ เปรียบได้กับร้านค้าที่ต้องมีการจัดตู้โต๊ะชั้นให้เป็นระเบียบก่อนการจัดวางสินค้า จะทำให้ระบบของ Google มาเก็บข้อมูลได้ง่ายผ่าน XML sitemap ที่เทียบเท่ากับสารบัญของหนังสือ

จะเห็นได้ว่า การเลือกบริษัททำ SEO จำเป็นต้อง พิจารณาจากหลายองค์ประกอบและหาข้อมูลหลาย ๆ บริษัทเปรียบเทียบกันถึงจุดดีและด้อย ที่สำคัญต้องเลือกบริษัทที่คิดค่าใช้จ่ายในเกณฑ์ที่เหมาะสมด้วย เนื่องจากการ จ้างทำ SEO จะเป็นต้นทุนทางธุรกิจในระยะยาว เพราะมีผลต่ออันดับของเว็บไซต์ในผลการค้นหา จึงต้องค่อย ๆ เลือกเฟ้นหาบริษัททำ SEO ที่มีจรรยาบรรณและมีความรู้ที่ถูกต้อง ทันสมัยต่อการเปลี่ยนแปลงอัลกอริทึมของ Google

SEO สิ่งที่ต้องตรวจสอบกับบริษัทรับทำ SEO ก่อนการจ้างงาน

จะจ้างทำ SEO ทั้งทีต้องเลือกจากอะไรบ้าง

จะจ้างทำ SEO ทั้งทีต้องเลือกจากอะไรบ้าง

การทำ SEO หรือ search engine optimization ตามระบบที่ Google กำหนด เป็นสิ่งที่ต้องใส่ใจรายละเอียดหลากหลายด้าน ผู้ที่มีเวลาสำหรับการเรียนรู้และทำได้อย่างสม่ำเสมอต่อเนื่องเท่านั้น จึงจะประสบผลสำเร็จเพิ่มยอดขายและสร้างแบรนด์ให้ติดตลาดได้

ส่วนผู้ที่ไม่ถนัดจะทำ SEO ด้วยตัวเอง สามารถจ้างบริษัทเอกชนทำ SEO ก็ได้ ทั้งนี้ ควรที่จะดูคุณภาพของบริษัทจากหลักเกณฑ์ต่อไปนี้

1. มีเอกสารยืนยันตัวตน

การมีใบอนุญาตอย่างเป็นทางการตามกฎหมาย ในฐานะผู้ประกอบการธุรกิจที่ จะสามารถติดตามตัวผู้รับผิดชอบได้ หากมีการจ้างงานแล้วไม่ได้ทำตามสัญญา ก็สามารถที่จะฟ้องร้องเพื่อเรียกค่าชดเชยได้

2. เจ้าหน้าที่มีความเป็นมืออาชีพ

สิ่งที่แสดงถึงความเป็นมืออาชีพ คือ สามารถที่จะบอกผู้ว่าจ้างได้ว่า หลักการทำ SEO คืออะไร ต้องแก้ไขที่จุดไหนสำหรับเว็บไซต์ของคุณเป็นอันดับต้น ผู้ที่จะว่าจ้างสามารถศึกษาหลักการทำ SEO พื้นฐานได้จากเว็บไซต์ทั่วไป เพื่อที่จะเข้าใจในสิ่งที่บริษัทรับทำ SEO ต้องการที่จะสื่อสารมากยิ่งขึ้น

3. มีผลงานให้ดูพัฒนาการ

การทำ SEO เป็นงานต่อเนื่อง ต้องอาศัยการพัฒนาองค์ประกอบต่าง ๆ ในเว็บไซต์พร้อม ๆ กัน ได้แก่ ปรับส่วนโครงสร้างให้ใช้งานง่าย การผลิตบทความที่ผ่านการเลือก keyword ที่เหมาะสม เช่นเดียวกับการตั้งหัวข้อและคิด Meta Description ที่มีประสิทธิภาพในการแข่งขันเชิงธุรกิจ สิ่งเหล่านี้จะเห็นผลลัพธ์การเปลี่ยนแปลงอันดับ SEO ที่ดีขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อทำต่อเนื่องไป 2-3 เดือน บริษัทที่รับทำ SEO จึงต้องมีการทำรายงานแสดงผลการปฏิบัติการในแต่ละวันและรายเดือนให้ผู้จ้างงานมั่นใจได้ว่าจะมีความคืบหน้าของอันดับ SEO จริง

4. ไม่มีประวัติเสีย

ไม่มีใครอยากจ้างงานบริษัทที่มีการทิ้งงานลูกค้ากลางคัน หรือหากหยุดจ้างแล้วทำให้อันดับ SEO ตกลงแบบผิดปกติ เพราะแสดงถึงการใช้เทคนิคที่ผิดกฎหมาย หรือมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลในระบบบางอย่างที่ทำให้ Google ไม่สามารถเก็บข้อมูลได้อย่างเหมาะสม การตรวจประวัติจะต้องศึกษาจากการรีวิวของลูกค้าในที่ต่าง ๆ จากพันทิปหรือ Facebook ที่จะมีคนมาแจ้งเตือนกันอยู่เรื่อย ๆ

5. ราคาต้องเหมาะสม

การทำ SEO ต้องอาศัยความสามารถหลากหลายด้านและต้องมีความใส่ใจในเนื้องาน พร้อมอัปเดตเป็นประจำ ราคาจึงควรอยู่ในเกณฑ์ปานกลางหรือเป็นราคาตลาด หากคุณบริษัทที่รับทำงานในราคาที่ต่ำเป็นพิเศษ ก็ต้องระวังว่าอาจจะใช้เทคนิคที่ไม่ถูกต้อง หรือมีปัญหาการทิ้งงานตามมาได้

การทำ SEO เป็นสิ่งสำคัญต่อการแข่งขันในโลกออนไลน์ จึงห้ามมองข้ามการศึกษาพื้นฐานการทำ SEO ที่ Google กำหนดและการเลือกจ้างบริษัททำ SEO ที่มีประสิทธิภาพ เพื่อป้องกันการถูกหลอกลวง และทำให้มีอำนาจในการแข่งขันทางธุรกิจดียิ่งขึ้น

จ้างบริษัทเอกชนทำ SEO

เลือกบริษัทรับทำ SEO อย่างไรถึงจะไม่พลาด

การทำ SEO หรือ search engine optimization สามารถทำได้ด้วยตัวของเจ้าของ ธุรกิจออนไลน์ เอง ซึ่งหากเป็นผู้ที่มีความรู้พื้นฐานในการทำการตลาดออนไลน์อยู่แล้ว ก็เป็นเรื่องไม่ยากเกินไปที่จะศึกษาและหมั่นอัปเดตความรู้เพิ่มเติม

แต่ผู้ที่ไม่มีประสบการณ์ในการทำ หรือจำเป็นต้องให้เวลากับการบริหารส่วนอื่นของงาน การเลือกจ้างบริษัททำ SEO แบบมืออาชีพจะช่วยประหยัดเวลาและทำให้ธุรกิจเติบโตได้บรรลุเป้าหมายมากขึ้น

การเลือกบริษัททำ SEO ที่ดีควรมีลักษณะอย่างไรบ้าง

1. จ้างบริษัทที่มีเอกสารยืนยันตัวตน

เอกสารสำคัญที่ควรมี คือ หลักฐานการจดทะเบียนการค้าถูกต้องตามกฎหมาย หากสืบค้นจากระบบออนไลน์ ต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่ามีการลงทะเบียนยืนยันตัวตนที่ชัดเจน มีช่องทางในการติดต่อที่สะดวก น่าเชื่อถือ เพื่อไม่ให้มีปัญหาในการติดตามงานและมีผู้รับผิดชอบหากไม่เป็นตามสัญญาจ้างทำ SEO

2. ต้องมีการพูดคุยให้เข้าใจก่อน

เพื่อให้เห็นทัศนคติและความเชี่ยวชาญในการทำ SEO บริษัทที่มีประสบการณ์สูงจะสามารถบอกได้ถึงขั้นตอนในการทำ SEO ที่ถูกต้อง ตามหลักการที่ Google กำหนด มีวิธีทำ SEO อย่างตรงไปตรงมา ไม่สร้างความคาดหวังที่เกินจริง เช่น การทำ SEO ไม่สามารถจะการันตีอันดับ 1 ได้ เพราะเป็นการวิเคราะห์ด้วยระบบ algorithm ผู้ที่รับทำ SEO แบบมืออาชีพและทำตามหลักเกณฑ์จะการันตีผลได้มากที่สุด ก็คือขึ้นอันดับ Top 5 หรือ Top 3 เท่านั้น หากยืนยันผลลัพธ์ที่สูงผิดสังเกต ก็มีโอกาสถูกหลอกลวงมาก

3. ไม่มีประวัติการฉ้อโกงงานนายจ้าง

ก่อนการทำสัญญาจ้างทำ SEO ควรเช็คประวัติจากการรีวิวของลูกค้ารายอื่นให้ละเอียด ด้วยการใช้ชื่อบริษัท เลขทะเบียนการค้า อีเมล ชื่อผู้รับผิดชอบเบอร์โทรศัพท์ และรายละเอียดอื่น ๆ เท่าที่หาได้ไปสืบค้น หากเคยมีคนเตือนภัยไว้ในพันทิปหรือในกลุ่ม Facebook ต่าง ๆ ก็ควรหลีกเลี่ยงการจ้างงานให้มากขึ้น

4. เลือกบริษัทที่มีการคิดค่าบริการเหมาะสม

การทำ SEO จะมีต้นทุนทั้งด้านเทคนิคและแรงงาน ทั้งต้องมีความสม่ำเสมอและใส่ใจในรายละเอียด จึงจะเห็นผลลัพธ์ในการทำที่ดี ฉะนั้นราคาค่าบริการจึงต้องเหมาะสมตามเกณฑ์มาตรฐาน ไม่ต่ำเกินไป เพราะจะเสี่ยงต่อการถูกหลอกลวง หรือหากสูงเกินไป ก็อาจเป็นภาระแก่เจ้าของเว็บไซต์ออนไลน์ได้

การเลือกบริษัททำ SEO ที่ดีควรมีลักษณะอย่างไรบ้าง

จะเห็นได้ว่า หลักการเลือกบริษัททำ SEO แบบมืออาชีพ จำเป็นต้องพิจารณาทั้งคุณสมบัติของตัวบริษัท ความสามารถจากผลการรีวิวที่ต่าง ๆ รวมถึงราคาที่เหมาะสมด้วย หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้ทุกท่านเลือกบริษัทที่ถูกใจและลดความเสี่ยงต่อการถูกหลอกลวง อันทำให้เสียโอกาสในการแข่งขันทางธุรกิจออนไลน์ได้มากขึ้น

การทำ SEO ดีไหม เสียค่าใช้จ่ายอย่างไร มือใหม่ค้าขายออนไลน์ต้องอ่าน

การทำ SEO หรือ Search Engine Optimization เป็นสิ่งที่กูรูผู้เชี่ยวชาญทางการตลาดแนะนำและกล่าวถึงอย่างมาก ว่าสามารถช่วยให้เว็บไซต์ทางธุรกิจทุกประเภทเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้มากขึ้น ทำให้เพิ่มยอดขายและสร้างชื่อเสียงของแบรนด์ได้อย่างรวดเร็ว ทั้งนี้ นักธุรกิจออนไลน์ยุคใหม่จำนวนไม่น้อย ยังข้องใจว่า การทำ SEO จะมีค่าใช้จ่ายอย่างไรและเหมาะสมกับธุรกิจของตัวเองหรือไม่ หากอ่านบทความนี้จบแล้ว คุณจะได้คำตอบอย่างแน่นอน

การทำ SEO เป็นเทคนิคการตลาดที่มีจุดเด่น คือ ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายให้แก่ Search Engine อย่าง Google, Bing และ Yahoo แต่อย่างใด เนื่องจากเป็นการพัฒนาคุณภาพของเว็บไซต์ ซึ่งมีอยู่ 2 ส่วนที่สำคัญ คือ

1. On-Page SEO

หากอยากให้เว็บไซต์ของคุณเป็นที่จดจำและได้รับการสั่งซื้อซ้ำจากลูกค้าบ่อย ๆ ต้องพัฒนาในส่วนนี้ให้มาก เริ่มจากการเลือก Keyword SEO ที่ดี เช่น ผู้ทำเว็บไซต์ให้บริการรับดูแลสุนัขและแมว ควรใช้ Keyword ในการสร้างบทความว่า “รับดูแล สุนัข แมว กรุงเทพ” เป็นต้น เพื่อให้สอดคล้องกับคำที่กลุ่มเป้าหมายใช้ค้นหาร้านที่ต้องการ

นอกจากนี้ การออกแบบเว็บไซต์ให้ใช้งานง่ายทั้งบนคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะและมือถือ จะช่วยให้เข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคมากขึ้น การคิดโลโก้และรูปแบบฟอนต์ตัวอักษรที่สื่อถึงแบรนด์ เช่น หากทำเว็บไซต์เพื่อประชาสัมพันธ์โรงแรมที่พัก ก็ควรใช้สีน้ำเงิน สีน้ำตาลและตัวอักษรกึ่งทางการเพื่อให้ดูน่าเชื่อถือ

การหมั่นเพิ่มเติมบทความที่ให้คุณค่า และพัฒนาเว็บไซต์ของคุณอย่างสม่ำเสมอ จะทำให้มีข้อมูลในระบบคอมพิวเตอร์มากพอที่ระบบ Algorithm หรือ AI อัจฉริยะของ Search Engine จะวิเคราะห์ว่าเป็นเว็บไซต์คุณภาพดี ที่จะนำเสนอเป็นอันดับต้น ๆ ในหน้าต่างการสืบค้นต่อไป

2. Off-Page SEO

เป็นการเชื่อมโยงลิงก์ของเว็บไซต์คุณเข้ากับเว็บไซต์ภายนอก เพื่อให้มีการขยายฐานลูกค้า โดยมากขึ้น โดยเน้นที่ความจริงใจเป็นมิตรมากที่สุด โดยวิธีที่นิยม คือ การเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายในห้องแชททาง Social ต่าง ๆ เช่น คุณเปิดเว็บไซต์ขายสินค้าออร์แกนิกไร้สารเคมี คุณก็ควรจะอยู่ในกลุ่มโซเชียลของผู้รักสุขภาพ เพื่อมีการพูดคุยเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ หากมีผู้ใดสนใจสินค้าออแกนิกคุณก็สามารถที่จะให้ข้อมูลและลิงก์เพจหรือเว็บไซต์ของคุณได้ อันจะนำไปสู่การส่งเสริมการขายในที่สุด เทคนิคนี้จะทำให้แบรนด์คุณเป็นที่รู้จักและก็มียอดการสั่งซื้อสินค้ามากขึ้นตามมานั่นเอง

จะเห็นได้ว่า การทำ SEO นั้น ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในส่วนใดเลย ซึ่งคุณสามารถเริ่มทำ SEO กับเว็บไซต์ของคุณได้ตั้งแต่วันนี้ เนื่องจากต้องใช้ระยะเวลาในการสะสมข้อมูล ประมาณ 3 เดือนถึง 6 เดือนขึ้นไป ซึ่งบรรดากูรูการตลาดต่างการันตีว่า ความสม่ำเสมอในการทำ SEO จะทำให้ธุรกิจของคุณเติบโตได้อย่างยั่งยืนในโลกออนไลน์แน่นอน

การทำ SEO เป็นเทคนิคการตลาดที่มีจุดเด่น

สิ่งที่ควรวางแผนก่อนจ้างทำ SEO

การทำเว็บไซต์ที่ดีให้มีการติดตลาดจำเป็นจะต้องเตรียมฐานข้อมูลรวมถึงความรู้ในการทำคอนเทนต์ การทำหน้าที่ของระบบเว็บไซต์เพื่อให้เครื่องมือค้นหา หรือ Search engine จัดอันดับให้ติดหน้าแรก ต้องยอมรับว่าการทำ SEO นั้นสำคัญและจำเป็นอย่างมาก

สิ่งที่สำคัญตามมานั่นก็คือ ค่าใช้จ่ายของ การทำ SEO นั้นจะต้องมีค่าใช้จ่ายเพื่อให้เป็นเว็บไซต์ที่ได้มาตรฐาน มีการพัฒนาเรื่องประสบการณ์ผู้ใช้ และสามารถติดอันดับบน ๆ ของหน้าค้นหา ให้ผู้ใช้มองเห็นก่อนบนหน้าแรกของผลการค้นหา ซึ่งสำคัญเป็นอย่างมากในการตลาดที่จะเป็นที่ได้มาของกลุ่มลูกค้าและการขาย โดยมี สิ่งที่ควรวางแผนก่อนจ้างทำ SEO ดังนี้

ตั้งงบประมาณในการทำ SEO

การตั้งงบประมาณนั้นสำคัญมากในการทำ SEO เพื่อประเมินผลตอบรับและดูความเสี่ยงว่าสามารถรับได้หรือไม่ ที่สำคัญคือ ดูความเหมาะสมของธุรกิจ และกลุ่มลูกค้าที่จะตามมาว่าสามารถจ่ายได้โดยหากเป็นธุรกิจขนาดใหญ่ การทุ่มทุนก็เป็นเรื่องง่าย แต่หากเป็นบริษัทขนาดเล็กหรือเพิ่งเปิดตัวก็ควรศึกษาให้ดี ทั้งนี้มีทั้งจ่ายแบบรายหกเดือนและรายปี งบประมาณเริ่มต้นในการทำ SEO อยู่ที่ 30,000 บาท ในระยะเวลา 6 เดือนซึ่งบริษัทที่มีบริการที่ดีจะมีการติดตามผลตลอด 1 ปี สำหรับรายเดือนเริ่มต้นที่ 3,000 บาทต่อเดือน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับลักษณะของคีย์เวิร์ดที่ต้องการติดอันดับ

หาข้อมูลสำหรับบริษัทที่รับทำ SEO

หาข้อมูลของบริษัทที่รับทำ SEO โดยเฉพาะโดยต้องค้นหาข้อมูลของบริษัทผลงานบริการในการทำรีวิวจากลูกค้า ดูผลตอบรับที่ได้หลังจากรับบริการว่าเป็นอย่างไร และผลจากการทำนั้นได้ผลหรือไม่ มีความเป็นมืออาชีพและเมื่อทำแล้วเว็บไซต์จะได้รับการพัฒนาหรือไม่

หากเป็นฟรีแลนซ์ที่รับทำ SEO ควรศึกษาให้ดี

เนื่องจากฟรีแลนซ์อาจขาดความเป็นมืออาชีพ และมีการบริการที่แตกต่างจากการให้บริการแบบบริษัทที่รับทำ SEO โดยตรง ดังนั้นจำเป็นจะต้องศึกษาให้ดีทั้งในเรื่องของราคาและการให้บริการ ทั้งนี้ฟรีแลนซ์ที่มีฝีมือดีก็มีมากและอาจเทียบเท่ากับบริษัทผู้ทำเว็บไซต์จึงต้องศึกษาให้ดี ซึ่งสามารถดูได้จากผลงาน

เมื่อ SEO ติดอันดับแล้วควรทำต่อเนื่องหรือไม่

ในกรณีที่เว็บไซต์มีการทำ SEO ได้ติดอันดับการค้นหาแล้วก็อาจมีบางส่วนที่ติดอันดับได้ไม่เปลี่ยนแปลงแม้จะหยุดทำไประยะหนึ่ง แต่อย่างไรก็ต้องพัฒนาต่อเนื่อง หากอยู่ในภาคธุรกิจที่ต้องมีการแข่งขันสูงก็จำเป็นที่จะต้องทำต่อเนื่องต่อไป

การทำ SEO ด้วยตัวเองแบบประหยัดงบประมาณ

การทำ SEO ขึ้นมาเองนั่นคือ การที่เราจะต้องมีการศึกษาการทำคอนเทนต์และค้นหาข้อมูลเป็นอย่างดี โดยการที่เราจะต้องกำหนดคีย์เวิร์ดขึ้นมาแล้วค้นหาว่าเป็นที่นิยมหรือไม่ จากนั้นเขียนบทความแล้วใส่คีย์เวิร์ดที่ต้องการ จากนั้นสังเกตผลตอบรับแล้วค่อย ๆ เรียนรู้ปรับเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ

การทำ SEO มีทั้งแบบรายเดือนที่เริ่มต้นที่เดือนละ 3,000 บาท รายหกเดือนเริ่มต้นที่ 30,000 บาท ขึ้นกับคีย์เวิร์ดที่จะทำ หากบริการได้ผลดีจะมีการดูผลตอบรับตลอดเวลาหนึ่งปี จากนั้นให้พัฒนาการเขียนคอนเทนต์ให้มีคุณภาพมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ตั้งงบประมาณในการทำ SEO